โหนกระแส? กรณีธรรมะเพื่อธรรมกาย
บทความนี้นำมาจากกระทู้ห้อง
ศาสนาในเวป Pantip อ่านเถอะ
แล้วจะเข้าใจทำไมต้อง..
มาโหนกระแส.?
"เมื่อคน หรือพระทะเลาะกัน
จะเป็นผู้แพ้ หรือผู้ชนะ ย่อมมี
ความอ่อนแอซุกซ่อนอยู่เสมอ
แล้วแพ้หรือชนะจะมีค่าอะไร..
กรณีธรรมกาย เห็นต่าง
แต่อย่าทะเลาะเพราะใช่ว่า
จะอยู่ร่วมกันไม่ได้
ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส
อย่าพึ่งมั่นใจว่าความเข้าใจ
ของเราถูกทั้งหมด .."
" จุดเด่นของพระพุทธศาสนา
ไม่ได้อยู่ที่ว่า ให้เชื่ออะไร ?
แต่เน้นให้ลงมือทำศาสนานี้
จึงเป็นศาสนาของผู้มีปัญญา .."
เสียงอ่านฯ กรณีธรรมกาย
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมถนัดเลยครับและใจจริง
ไม่อยากเขียนถึงด้วยผมชอบความสงบ
ร่มเย็นทางใจมากว่าอะไรที่ทำให้ร้อนครับ
เข้าที่ห้องศาสนา จะเห็นกระทู้
"เสียงอ่านฯ กรณีธรรมกาย"
แบ่งเป็นตอนย่อยๆ มาโปรยไว้วันละตอน
สองตอนเป็นประจำขอชื่นชมว่าขยันกัน
จริงๆ ครับ คิดในแง่ดี คืออยากให้ความรู้
กับเพื่อนสมาชิก แต่คิดอีกแง่ เหมือน
ไม่อยากให้ลืมว่า..
"วัดพระธรรมกาย"
สอนผิดอย่างไรด้วย!
ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่
ครับผมเห็นคุณค่าของหนังสือ
"กรณีธรรมกาย"
ในแง่เป็นความเห็นทางวิชาการที่น่าสนใจ
แต่จะหมดความน่าสนใจ ถ้าใครเอามาใช้
"ว่าร้าย" หรือใช้ถกเถียงทะเลาะกันเมื่อมี
"คุณผิด-ฉันถูก" ที่ไหนเตรียมตัวได้ว่า
การทะเลาะจะตามมาเมื่อไหร่ที่เห็น..
"คน " ทะเลาะกัน
หรือ "พระ" ทะเลาะกัน
ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะชนะ
หรือใครจะแพ้ แต่ผมเห็น
ความอ่อนแอซ่อนอยู่ครับ
คนในครอบครัวทะเลาะกัน
ครอบครัวนั้นอ่อนแอคนในชาติ
ทะเลาะกัน ชาตินั้นอ่อนแอ
พระในพระพุทธศาสนา
ทะเลาะกันศาสนานั้นอ่อนแอ
แพ้ หรือชนะจะมีค่าอะไร ?
สมัยพุทธกาลมีเรื่อง"ขำ-ขื่น"
อยากเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์สักเรื่องครับ!
ขำ--เพราะเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง
ไม่น่าเป็นเรื่องเป็นราวอะไรได้
ขื่น--เพราะนำไปสู่การทะเลาะวิวาท
พระวินัยธรคงไปเล่าให้ลูกศิษย์ตัวฟัง
ว่ามีพระที่เข้าส้วมเป็นถึงแต่ทำผิดยัง
ไม่รู้ตัวลูกศิษย์ไปพูดกระทบศิษย์ของ
พระที่ไม่คว่ำขัน
ว่าอาจารย์พวกท่าน
ต้องอาบัติก็ยังไม่รู้เลย!
เรื่องจึงลุกลามใหญ่โตฝ่ายหนึ่งหาว่า
ต้องอาบัติยังไม่รู้อีกฝ่ายก็สวนกลับว่า
ไหนบอกว่าไม่แกล้ง ไม่เป็นไรอาจารย์
พวกท่านกลับกลอกไปกลับกลอกมา
พระทั้ง 2 ฝ่ายจึงเริ่มไหรวบรวมพวก
ที่คุ้นเคยชอบพอกันให้มาเข้ากันกับ
พวกตัว ขอบเขตการทะเลาะจึงขยาย
ลามออกไป จนฝ่ายวินัยธรจัดการ
ลงนิคหกรรม(ลงโทษ) พระที่ลืมคว่ำขัน
ได้สำเร็จ
ชนะหรือครับ..
เปล่าเลย เพราะฝ่ายที่ถูกลง
นิคหกรรมก็ไม่แคร์ ทั้ง 2 ฝ่าย
จึงแตกกันต่างคนต่างอยู่ไม่ทำ
สังฆกรรมร่วมกันเหมือนเคย
ไม่น่าเป็นเรื่องเป็นราวอะไรได้
ขื่น--เพราะนำไปสู่การทะเลาะวิวาท
ใหญ่โตเสียหายกันไปทั่ว
สาเหตุที่ทะเลาะกัน เกิดจาก "ขัน"
สาเหตุที่ทะเลาะกัน เกิดจาก "ขัน"
ในส้วมครับฮึๆ ยังไม่ทันเล่าก็ขำแล้วครับ
พระรูปหนึ่งเข้าส้วมแล้วเผลอปล่อยให้
พระรูปหนึ่งเข้าส้วมแล้วเผลอปล่อยให้
มีน้ำค้างอยู่ในขันคือไม่คว่ำขัน
พระวินัยธรรูปหนึ่ง มาเห็นเข้าก็บอกว่า
ผิดวินัยเป็นอาบัติแต่ถ้าไม่แกล้งทำก็
ไม่ผิดพระรูปแรก เห็นว่าตัวไม่ได้แกล้ง
จึงไม่ได้ปลงอาบัติแล้วก็ไป
เรื่องเล็กเกิดกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะ
จึงไม่ได้ปลงอาบัติแล้วก็ไป
เรื่องเล็กเกิดกลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะ
พระ 2 รูปนี้เป็นระดับครูบาอาจารย์ที่มี
ลูกศิษย์ลูกหามากมายด้วยกันทั้งคู่
ว่ามีพระที่เข้าส้วมเป็นถึงแต่ทำผิดยัง
ไม่รู้ตัวลูกศิษย์ไปพูดกระทบศิษย์ของ
พระที่ไม่คว่ำขัน
ว่าอาจารย์พวกท่าน
ต้องอาบัติก็ยังไม่รู้เลย!
เรื่องจึงลุกลามใหญ่โตฝ่ายหนึ่งหาว่า
ต้องอาบัติยังไม่รู้อีกฝ่ายก็สวนกลับว่า
ไหนบอกว่าไม่แกล้ง ไม่เป็นไรอาจารย์
พวกท่านกลับกลอกไปกลับกลอกมา
พระทั้ง 2 ฝ่ายจึงเริ่มไหรวบรวมพวก
ที่คุ้นเคยชอบพอกันให้มาเข้ากันกับ
พวกตัว ขอบเขตการทะเลาะจึงขยาย
ลามออกไป จนฝ่ายวินัยธรจัดการ
ลงนิคหกรรม(ลงโทษ) พระที่ลืมคว่ำขัน
ได้สำเร็จ
ชนะหรือครับ..
เปล่าเลย เพราะฝ่ายที่ถูกลง
นิคหกรรมก็ไม่แคร์ ทั้ง 2 ฝ่าย
จึงแตกกันต่างคนต่างอยู่ไม่ทำ
สังฆกรรมร่วมกันเหมือนเคย
เรื่องไปถึง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์จึงเข้ามาแก้ไข
แก้อย่างไร ?พระองค์ตำหนิทั้ง 2 ฝ่ายครับ
โดยตำหนิฝ่ายวินัยธรว่าอย่านึก
ว่า "ตัวฉลาด" ต้องคิดด้วยว่าถ้า
ปรับอาบัติเขาแล้วจะทะเลาะกัน
ก็ไม่ต้องส่งไปปรับมันสิ
ส่วนชุดไม่คว่ำขัน ทรงตำหนิว่าต่อให้
ไม่ผิดแต่คนอื่นเขาเชื่อว่าผิดถ้าการ
ยืนกรานของเราทำให้ต้องทะเลาะกัน
ไปใหญ่ ก็ให้ยอมรับผิดไปซะ
สรุปตำหนิทั้งคู่ และให้ประนีประนอมกัน
เพื่อความสมัคคีเรื่องน่าจะจบลงด้วยดี
แต่เชื่อไหมครับ!
พระ 2 กลุ่มนี้ยังคงทะเลาะกันเหมือนเดิมต่อไปพระองค์สอนอีกหลายครั้ง
ก็ยังไม่ได้ผลจนทรงใช้วิธีสุดท้ายคือ
เมื่อสอนไม่ได้ก็ไม่สอนมันซะเลย!
เลยครับพอทรงจากไป ชาวบ้านก็
โวยวายละสิคราวนี้ว่าเพราะพระพวกนี้
เราจึงไม่มีโอกาสได้เห็น ได้ฟังธรรม
จากพระองค์
ชาวบ้านเริ่มรวมหัวกันเลิกใส่บาตร
เลิกไหว้ ไม่ให้ความช่วยเหลืออะไร
ทั้งสิ้นพระพวกนี้ก็ดิ้นสิครับไอ้ที่เคย
ข้าก็เก่ง เอ็งก็แน่ กลายเป็นเงียบกริบ
ถ้าขืนทะเลาะกันต่อไปก็อดตายละครับ!
ความพยศผยองพองลม ดื้อด้าน
ก็หมดไปรีบเดินทางไปขอให้
พระพุทธเจ้ายกโทษให้ตัว
เหลือเกินจริงๆ นะครับ
กว่าจะยอมลดราวาศอก
กันได้เล่นเอาวุ่นวายไปหมด
พอจะขำ-ขื่นกันบ้างไหมครับ ?
เรืองเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
คล้ายโดมิโน่ !
กลับมาเรื่องกรณีธรรมกาย
เห็นต่าง..ก็อย่าให้ทะเลากันเลยครับ
ชาวบ้านอย่างเรา ตราบใด
ยังไม่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์
เผื่อใจไว้บ้างเถอะครับว่า..
สิ่งที่เราคิดเราเห็น
อาจไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด
หนังสือกรณีธรรมกายก็เหมือนกัน
เรื่องไหนที่ไม่มีความรู้ผมจะฟัง
หลายด้านเรื่องไหนพอรู้บ้างหรือมี
ประสบการณ์ผมก็อาจเห็นต่างออกไป
ไม่ได้เชื่อด้วย
แต่ก็ชอบครับส่วนที่ให้ความรู้ทำให้
ผมรู้เพิ่มขึ้น ส่วนที่เป็นความเห็นหรือ
ข้อแนะนำผมรับฟังด้วยความสนใจ
อย่างเรื่อง
นิพพาน..
เป็นอัตตา หรืออนัตตา?
ผมมีความรู้แบบงูๆ ปลาๆ ปราชญ์ที่ไหนยกเหตุผลมาอ้างอธิบาย
ผมก็เคลิ้มไปกับทั้งสองฝ่ายละครับ
บอกว่าเป็น อนัตตา ผมก็อืม !!
มีเหตุผล
บอกว่าเป็น อัตตา ผมก็อืม !!
มีเหตุผลอีกเหมือนกัน
ฮึๆ เชื่อง่ายครับ..
จึงไปหาอ่าน แล้วพบว่ายังมี
นักวิชาการทางศาสนาเก่งๆ
บางท่านเห็นต่างไปก็มีครับเช่น
ศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม
ท่านก็นักปราชญ์เมืองไทยครับ
ท่านให้ความเห็นไว้ว่าขอยกมา
บางส่วนนะครับ
" นิพพานอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า..
อนุปาทิเสสนิพพาน
หมายถึง นิพพานของพระอรหันต์
ที่สิ้นชีพดับขันธ์แล้ว
นิพพานชนิดนี้มีปัญหาถกเถียงกันมาก
และถกเถียงกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
มีคนทูลถามพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่
สมัยพุทธกาลแล้วว่า..
พระอรหันต์สิ้นชีพแล้วอะไรเกิดขึ้น
ท่านยังมีอยู่ หรือไม่มีอยู่ ?
ความจริงพระพุทธเจ้า
และพระอรหันตสาวก
ก็ได้ประทานคำตอบไว้แล้วในพระไตรปิฎก
แต่ถึงกระนั้นคนก็ยังถกเถียงกันอยู่ "
เพราะเหตุใด ?
ก็เพราะคำตอบเหล่านั้นยังไม่ชัดเจนพอ
บางทีก็ตอบเชิงปฏิเสธ (Negative)
ว่านั่นก็ไม่ใช่ นี้ก็ไม่ใช่
ไม่ใช่อะไรสักอย่าง
บางทีก็ตอบว่า นิพพานลึกซึ้ง
จนพูดถึงไม่ได้อธิบายไม่ได้
ด้วยท่าทีแบบนี้ จึงมีชาวพุทธเถรวาท
เป็นอันมากเช่น ท่านพุทธทาส เป็นต้น
ยอมรับเฉพาะ "นิพพานทางจิตวิทยา"
เท่านั้น ไม่ยอมรับนิพพานที่เป็น
"สภาวธรรมอันหนึ่ง"
ที่มีอยู่โดยตัวเองในเอกภพหรือที่
นักวิชาการสมัยใหม่
ศจ.ดร.วิทย์ วิศทเวทย์ เรียกว่า
"นิพพานแบบอภิปรัชญา"
(Metaphysical Nirvana)
ท่านเหล่านี้เชื่อว่า..
เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีพดับขันธ์ลง
ทุกสิ่งทุกอย่างก็สิ้นสุดลงแค่นั้น
ชีวิตของท่านก็ดับไปเหมือนไฟหมดเชื้อ
เหมือนตาลยอดด้วนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย !
ปัญหาที่ใคร่จะพยายามตอบ
ในบทความนี้ก็คือว่านิพพาน
แบบอภิปรัชญา..มีอยู่หรือไม่?
คำตอบที่พบในพระไตรปิฎก
แบบยอมรับว่า " มี "
ถ้าสนใจลองไปอ่านกันดูครับ
(แต่ถ้าไม่ซีเรียสจริงจัง
ก็ผ่านไปเถอะไม่ปวดหัวดี)
---------------------------------------------------------------------------
http://www.oocities.org/tokyo/field/1244/interest/int06271.htm
http://www.oocities.org/tokyo/field/1244/interest/int06272.htm
----------------------------------------------------------------------------
เรื่องอื่นๆ ในหนังสือนอกจากนี้
ผมคงขอข้ามไปที่ยกมาไม่ใช่ว่า
อยากให้ทะเลากัน แต่อยากชี้ให้เห็นว่า..
คนที่เห็นต่างมันมี
ดังนั้นสามัคคีกันดีกว่าครับ!
ต่างคนต่างก็ยังไม่ไปนิพพานอะไร
ชาตินี้ก็ใช่จะไปถึงเหมือนคนเริ่ม
เดินทางแต่ทะเลาะกันเรื่อง
ปลายทางว่าเป็นอย่างไรซะแล้ว
จุดเด่นของพระพุทธศาสนา
ไม่ใช่อยู่ที่ว่าให้เชื่ออะไร .!
แต่เด่นตรงที่ให้ลงมือทำครับ
ศาสนานี้จึงเป็นศาสนาของผู้มีปัญญาไม่ต้องเชื่อแต่ให้ทำไป
จนกว่าจะเห็นตัวตาตัวเอง
ศาสนานี้จึงให้ความสำคัญกับ
"ทาง" หรือ "มรรค" หรือ "ปฏิปทา"
ในระดับที่ทรงท้าว่า"เอหิปัสสิโก"
เชิญมาพิสูจน์ดู
ความเห็นต่างจึงไม่ได้
หมายความว่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้
และอย่างเพิ่งมั่นใจว่าความเข้าใจ
ของเราถูกต้องอยู่คนเดียว
ให้อีกเส้นยาวกว่า ก็ไม่จำเป็นว่า
ต้องลบอีกเส้นให้กุดสั้น ..
เพียงแค่ขีดอีกเส้นนั้นให้ทอดยาวออกไป
เพราะต่อให้ลบเท่าไหร่
รอยขีดของเราก็ยาวเท่าเดิม..
ความเห็นที่ต่างกันเหมือนเส้น 2 เส้น
ที่ขีดให้ยาวเท่ากันบนผืนทราย
การจะให้เส้นของฝ่ายหนึ่งยาวกว่า
อีกฝ่ายหนึ่งได้
ทำได้ 2 วิธีคือ..
ลบเส้นของฝ่ายตรงข้ามให้สั้นลง
หรือขีดเส้นของเราให้ยาวขึ้น
โดยส่วนตัวผมชอบวิธีหลัง..
มันสง่างามกว่ากันเยอะเลยครับ
ลบเส้นของเขาเส้นของเราก็
เท่าเดิม ไม่ได้ดีเด่อะไรขึ้นมา!
ผมเชื่อครับว่าทุกคน
ทุกวัดอยากทำให้
พระพุทธศาสนาเจริญ
ดังนั้นเมื่อมั่นใจว่าความเข้าใจ
ของเราถูกก็ขีดเส้นของเรา
ให้ยาวออกไปครับ.!
เห็นนิพพานเป็นอนัตตาก็ไปสอน
ญาติโยมให้ลงมือรักษาศีล นั่งสมาธิ
จนเกิดปัญญาให้โยมเข้าถึงนิพพาน
อนัตตานั้น
เห็นว่าทำบุญแล้วอย่าสร้างใหญ่โต
ต้องแล้วแต่ศรัทธา หรือจะอะไรก็ไปฝึก
ญาติโยมให้ทำบุญให้ได้อย่างที่เราคิด
ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่พูดให้เขาเชื่อ
แต่อยู่ที่ฝึกให้เขาทำตามที่เราเชื่อ
ได้สำเร็จจนเห็นผล
แปลงสิ่งที่คุณคิดคุณเข้าใจให้เป็น
" รูปธรรม " เถอะครับชาวพุทธอีก
หลายสิบล้าน รอท่านไปชวนไปสอน
ไปฝึกให้เขาทำอยู่..
คนเชื่อตามแบบ..
วัดพระธรรมกายมีไม่มาก
เมื่อเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ
ชาวพุทธที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าจริงจัง
หรือเชื่อครึ่งๆ กลางๆ ยังดื่มเหล้า
สูบบุหรี่ เล่นการพนัน หมกมุ่นกับ
อบายมุขศีล 5 ยังไม่ครบน่าจะมีหลาย
สิบล้านคน
และที่ยังเชื่อเจ้าพ่อเจ้าแม่ ทรงเจ้าเข้าผี
หมอดูดวงชะตา ที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย
น่าจะอีกหลายล้านเหมือนกัน
วัดพระธรรมกายสร้างขึ้นโดยแม่ชี
อายุ 60 ปีคนหนึ่งที่อ่านหนังสือ
ไม่ออกเขียนไม่ได้ยังทำได้ขนาดนี้
วัดอื่นๆ มีพระ มีโยม มีความรู้มาก
กว่านี้ตั้งเยอะ ลุยเลยครับ..ผมเชียร์
ขอให้สนุกสนาน
ในการทำความดีครับ
Cr.Neocitran
ขอบคุณภาพประกอบจาก
www.dmc.tv
google.com
เพราะความลับไม่มีในอากาศ
>Talk--secret.blogspot.com
โหนกระแส? กรณีธรรมะเพื่อธรรมกาย
Reviewed by สารธรรม
on
01:55
Rating:

ศาสนาส่วนใหญ่ให้ความรู้
ตอบลบศาสน์เหมือนครูผู้ให้หลักชีวิต
ศาสน์ส่วนใหญ่สอนให้ไม่ทำผิด
ศาสน์สอนศิษย์อวยชัยให้เจริญ
เราเชื่อว่าความจริงต้องคู่กับคนจริงเท่านั้นที่ทนต่อการพิสูจน์ของมวลชนได้มือที่ไม่มีแผลแม้โดนยาพิษก็ไม่มีผล
ตอบลบให้ข้อคิดดีมากๆครับ สาธุๆ
ตอบลบศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งปัญญา ปฎิบัติจริง เห็นผลจริง
ตอบลบศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งสันติภาพและปัญญาโดยแท้ ด้วยเน้นการปฏิบัติตามพุทธวิธีเป็นสำคัญ
ตอบลบ"วิสัยของบัณฑิต ย่อมฝึกฝนอบรมปรับปรุงแก้ไขพัฒนาตนเอง" ให้มีความสะอาดบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจให้ยิ่งๆขึ้นไป และไม่เสียเวลาอันมีค่าไปทะเลาะกับใครๆ
ตอบลบ"คิดดี พูดดี ทำดี" ดีที่สุด ฯ
เสนอมุมมองในการมองต่าง นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสามัคคีได้งดงามมากค่ะ ใช่เลยความเห็นต่างไม่ได้แปลว่าต้องเป็นคนละพวกหรือศัตรูกันเนาะ
ตอบลบศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ
ตอบลบสาธุ
ตอบลบให้เชือมั่นในความดี ในการสร้างบารมี มีพระนิพพานเป็นเป้าหมาย เราคงยังไปไม่ถึงพระนิพพานกันง่ายๆดอก ตั้งใจทำความดีกันต่อไปเถิด
ตอบลบให้เชือมั่นในความดี ในการสร้างบารมี มีพระนิพพานเป็นเป้าหมาย เราคงยังไปไม่ถึงพระนิพพานกันง่ายๆดอก ตั้งใจทำความดีกันต่อไปเถิด
ตอบลบกราบอนุโมทนาสาธุการ สาธุครับ
ตอบลบเถียงให้ใจบาปปลีกวิเวกไปตั้งใจปฏิบัติเพื่อค้นหาคำตอบที่อยากได้
ตอบลบไม่ต้องเสียเวลาเถึยงกันหรือมาว่ากัน ลงมือปฏิบัติ ชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น ไม่ต้องเบียดเบียนเสียดสีให้เสียอารมณ์กัน เหมือนกินอาหาร ชอบอะไรก็กินอันนั้น ส่วนคนที่ไม่ชอบกินเหมือนเรา เค้าก็ไม่ได้ผิด เราไม่ชอบเหมือนเค้าเราก็ไม่ผิด ต่างคนต่างชอบ ต่างคนต่างกินดื่มด่ำรสชาติกันไป
ตอบลบไม่ต้องเสียเวลาเถึยงกันหรือมาว่ากัน ลงมือปฏิบัติ ชอบแบบไหนก็ทำแบบนั้น ไม่ต้องเบียดเบียนเสียดสีให้เสียอารมณ์กัน เหมือนกินอาหาร ชอบอะไรก็กินอันนั้น ส่วนคนที่ไม่ชอบกินเหมือนเรา เค้าก็ไม่ได้ผิด เราไม่ชอบเหมือนเค้าเราก็ไม่ผิด ต่างคนต่างชอบ ต่างคนต่างกินดื่มด่ำรสชาติกันไป
ตอบลบอ่านแล้วดีมากๆค่ะทำให้ได้ข้อคิดหลายอย่าง
ตอบลบในการดำเนินชีวิต
ลงมือทำกันเถอะ ใครจะว่าอะไรช่างเค้าอย่าไปโกรธ
ตอบลบมันเป็นความคิดคับแคบของคนที่อยู่ในกะลาค่ะ
ตอบลบอนุโมทนาบุญสาธุสาธุ
ตอบลบเพราะดีจริง... ทำจริง... ทุกกิจกรรมก็เพื่อสร้างคนดีที่สังคมต้องการได้จริง...ด้วยธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..เพื่อความสงบสุขและสันติภาพของโลก... ทำให้วัดพระธรรมกายและพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยจึงเป็นที่เคารพศรัทธาไปทั่วโลก...
ตอบลบความเชื่อเอาไว้บนหิ้ง ความจริงต้องพิสูจน์
ตอบลบธรรมใดก็ไร้ค่าถ้าไม่ทำ
โหนกระแสเพื่อใครกันแน่ คิดดีๆ ก่อนทำเถอะ กฎแห่งการกระทำไม่เคยละเว้นใครนะ
ตอบลบอยากได้วัดดีอย่างไรก็ลงมือสร้างเลยครับหรือไปสนับสนุนวัดที่ชอบ อยากได้พระดีอย่างไรก็บวชเองเลยครับหรือไปสนับสนุนพระที่ชอบ เเข่งกันทำความดีทำทานรักษาศีลนั่งสมาธิศึกษาธรรม สังคมเลวศาสนาวุ่นวายเพราะพวกดีเเต่ปากช่างติความดีไม่ทำด่าเค้าไปเรื่อยเคยครับ
ตอบลบอยากได้วัดดีอย่างไรก็ลงมือสร้างเลยครับหรือไปสนับสนุนวัดที่ชอบ อยากได้พระดีอย่างไรก็บวชเองเลยครับหรือไปสนับสนุนพระที่ชอบ เเข่งกันทำความดีทำทานรักษาศีลนั่งสมาธิศึกษาธรรม สังคมเลวศาสนาวุ่นวายเพราะพวกดีเเต่ปากช่างติความดีไม่ทำด่าเค้าไปเรื่อยเคยครับ
ตอบลบอย่ามัวเถียงกันให้หมดเวลาไปให้เสียเวลาเลยครับ..ลงมือปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงกันเองดีกว่า..จะได้หายสงสัยหายข้องใจกันไปเลย
ตอบลบ...ผมพิสูจน์มาแร้ว!!!
ตอบลบ@...ธรรมกายไม่ได้เลว ไม่ได้เป็น ไม่ได้ชั่วเหมือนที่ใครพูด เหมือนที่ใครคิด แต่กลับเป็นสิ่งดีมากๆ!!!
...ทำไมในเมื่อใครๆเชื่อคนที่ไม่ชอบธรรมกายได้..... ทำไม่ไม่ลองเชื่อคนที่เขาชอบธรรมกายดูบ้าง? และมาพิสูจน์หาเรื่องดีๆสักเรื่องในธรรมกายให้เป็นประโยชน์แก่ตัวคุณเองบ้างล่ะ?
จะเถียงกันไปทำไม มาปฏิบัติเลยจะได้รู้ ได้เห็นจริง แจ้ง ไม่ต้องมาพูดกันมากความ ให้เสียความรู้สึก สาธุกับบทความ ดีมากๆ ให้ข้อคิดที่ดีค่ะ
ตอบลบมองกัันคนละมุุมย่่อมเห็็นต่่างแม้้อยูู่่ทีี่่เดีียวกััน ยิิ่่งมองจากทีี่่ต่่างกัันยิิ่่งแตกต่่าง ถ้้ามาอยูู่่ทีี่่เดีียวกัันมองมุุมเดีียวกัันก็็จะเห็็นเหมืือนกััน ลองมาดููสิิ เราต้้องเลืือกสิิ่่งทีี่่ดีีกว่่าเพืื่่อการพััฒนา อย่่าเชืื่่ออะไรโดยไม่่พิิสููจน์์ก่่อน กาลามสููตรไงคะ พุุทธเป็็นศาสนาแห่่งปััญญาและเหตุุผล
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบอนุโมทนาบุญ สาธุ สาธุ สาธุครับ
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบสาธุ
ตอบลบณ วินาทีนี้ ต้องลงมือ "ทำ" อย่ามัวแต่ถกเถียง ใครศรัทธาครูบาอาจารย์ท่านใด ก็ยึดถือทำมันลงไป โดยไม่ว่าร้ายคนอื่น ดูผลการปฏิบัติของตัว แล้วก็ลุยสร้างบุญบารมีต่อไป ไม่ต้องมาก เอาแบบไต้หวันโมเดล ก็พอ สาธุ
ตอบลบสาธุๆ
ตอบลบไต้หวัน พุทธศาสนาเจริญเพราะไม่โจมตีกัน เขาฉลาดกว่าไทยพุทธหรือ
ตอบลบไต้หวัน พุทธศาสนาเจริญเพราะไม่โจมตีกัน เขาฉลาดกว่าไทยพุทธหรือ
ตอบลบทานศีลภาวนาทำดูแล้วจะรู้ค่ะกราบอนุโมทนาบุญสาธุค่ะๆ
ตอบลบกราบอนุโมทนาสาธุค่ะ ถ้าไม่เข้ามาสัมผัสเวยตนควไม่รู้ค่ะ
ตอบลบกราบอนุโมทนาสาธุค่ะ ถ้าไม่เข้ามาสัมผัสด้ยวตนเองก็ไม่รู้ค่ะ
ตอบลบขออนุโมทนาบุญในการให้แนวคิดแบบใจกว้างมากๆ อะไรไม่สำคัญเท่ากับการลงมือทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ให้ครบ แค่ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา. ทำให้จริงจังสมำเสมอให้ได้ก่อน ดีกว่ามามัวเถียงกันเรื่องนิพพานเป็นอย่างไร. ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นชาวพุทธก็มีบุญมหาศาลแล้ว ลงมือทำเลยก่อนท่ีจะหมดเวลา
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบความดีชนะทุกสิ่ง ความจริงชนะทุกอย่าง
ตอบลบความดีชนะทุกสิ่ง ความจริงชนะทุกอย่าง
ตอบลบสาธุ อนุโทนาค่ะ
ตอบลบ