ปู่ปล่อยไก่ นั่งเทียนอ้างพระไตรปิฎก ยกเมฆเงินทอนถึงขั้นปราชิก
จากเงินทอนวัดกลายมาเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ จนถึงขั้นปาราชิกได้จริงหรือ ?
อาบัติคืออะไร?
คือการทำความผิดของพระ มีอยู่หลายระดับตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงระดับที่รุนแรงมาก พอทำผิดแล้วก็จะมีบทลงโทษตามมา ซึ่งอาบัติแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆส่วนแรก คือ ความผิดที่แก้ไขไม่ได้ ต้องพ้นจากความเป็นพระ ซึ่งเราเรียกว่าปาราชิกมีอยู่ 4 ข้อ
ส่วนที่สอง เป็นอาบัติที่แก้ไขได้ทั้งหมดด้วยการ ปลงอาบัติ คือ ประกาศความผิดที่ตัวทำกับพระสงฆ์ หรือหมู่สงฆ์ (หมายถึงพระสงฆ์ 4 รูปขึ้นไป) ที่ไม่ต้องอาบัติเดียวกันได้รับทราบ ว่าได้ไปทำความผิดนั้นมา แล้วสงฆ์ หรือพระรูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับคำสารภาพตรงนี้ ก็จะบอกว่าให้ไปสำรวมระวังแก้ไขปรับปรุงตัวให้ดี เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ
หากเป็น อาบัติ ที่อยู่ในระดับรุนแรงรองจากปาราชิก คือ สังฆาทิเสส อย่างนี้ไม่สามารถปลงอาบัติได้จะต้องไป อยู่กรรม หรือที่เรียกว่า ปริวาสกรรม
อาบัติที่กำลังพูดถึงคือ
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ก็เป็นอาบัติที่มีลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งตรงที่ว่า ก่อนจะไปสารภาพว่าตัวเองได้ทำความผิดอะไรมา จะต้องนำสิ่งที่เป็นต้นเหตุในการทำผิดนั้น สละออกไปก่อน แล้วจึงจะสามารถปลงอาบัติได้ตัวท่านเองก็มีหลายเรื่อง
ที่เห็นในหน้าสื่อเป็นประจำ และคนก็ให้ความสนใจเยอะ ตั้งแต่เป็นคนนำม็อบ ปิดสถานที่ราชการ ขึ้นโรงพัก ขึ้นศาลฟ้องร้องอะไรกันสารพัดซึ่งก็แปลกดีเวลาท่านพูดอะไรออกมาก็ดูจะเป็นเรื่องเป็นราว หรือมีเรื่องอะไรขึ้นมา ท่านมักจะพึ่งกฎหมายบ้านเมือง มากกว่าพึ่งพระธรรมวินัย
ไม่น่าเชื่อว่าเป็นพระธรรมดารูปหนึ่งแต่มี power ขนาดนี้ พรรษาก็ยังไม่เท่าไหร่ แค่สิบกว่าๆ จัดว่าเด็กนะ เมื่อเทียบพระผู้มีพรรษากาลมากกว่าในสังฆมณฑลนี้
บางทีการเป็นคนที่อยู่ในหน้าสื่อบ่อยๆ ก็ทำให้เวลาพูดอะไรออกมาเสียงจะดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่อ้างพระธรรมวินัยก็ดูจะมีน้ำหนัก แต่ว่าถ้าเป็นพระด้วยกันเวลามองแล้วก็จะตลก รู้สึกขำๆ
เพราะเวลา ท่านอ้างสิกขาบท มาคือ มันถูก...แต่มันถูกไม่ตลอดสาย ท่านก็เลือกจะหยิบเอาตรงที่มันพอดีกับที่ท่านต้องการแต่ว่ามันไม่หมด
เห็นมาหลายรอบแล้ว
อย่างตอนที่ท่านพูดถึงวัดพระธรรมกาย เรื่องนิคหกรรม ของหลวงพ่อเจ้าอาวาสในตอนนั้น พูดถึงการรื้ออธิกรณ์ขึ้นมาแล้วก็ อ้างพระไตรปิฎก แต่ท่านก็อ้างแบบ เหมือนคนที่อ่านหนังสือไม่แตกพอพูดถึงเรื่องของเงิน ก็บอกว่าเงินที่ได้รับมาต้องสละเข้าไปในสงฆ์ หลังจากนั้นจึงจะปลงอาบัติตก
แล้วก็มีถ้อยคำที่พูดไปถึงพระผู้มีพรรษากาลมากๆ ระดับสมเด็จฯ ซึ่งท่านศึกษาเรื่องนี้มาเยอะ เป็นพระที่จบเปรียญธรรม แต่เราก็จะเห็นว่าพระมหาเถระเหล่านั้นท่านไม่ได้ตอบโต้อะไร
จริงๆ สังคมควรจะคิดนะว่า ทำไมเราต้องมานั่งฟังพระองค์นี้ ซึ่งถ้าเราไปค้นดูประวัติเก่าๆ ของท่านแล้ว คนแบบนี้คือคนที่น่าเชื่อหรือเปล่า
(อ่านเพิ่มเติม ⏩ย้อนประวัติเอี่ยวโกงพรรษา พุทธะอิสระ)
อยากจะให้มุมคิดอย่างนี้ว่า
เวลาที่เราจะฟังใครสักคนหนึ่ง เราก็ควรจะฟังคนที่เขามีความรู้เรื่องนั้นจริงๆ เป็นอันดับแรกเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอะไรเกี่ยวกับ เรื่องของสงฆ์ เช่น การปกครอง เราควรจะพุ่งไปหา พระผู้เป็นเจ้าคณะปกครอง เพราะนั่นคือบทบาทของท่านสมมติว่ามีคนมาขโมยของเรา สิ่งแรกที่เราคิดก็คือไปแจ้งความกับตำรวจ เช่นเดียวกันเมื่อเกิดเรื่องในสงฆ์สิ่งแรกที่เราควรจะคิดก็คือ ใครเป็นคนรับผิดชอบ พอเราเจอคนรับผิดชอบเราก็ไปว่ากันตามขั้นตอนตรงนั้น
อย่างกรณีนี้ มีการอ้างเอาพระไตรปิฎกมา ถามว่ามันใช่แบบนี้ไหม มันใช่ส่วนหนึ่ง แต่มันยังไม่จบ
เรื่องนี้ถ้าเราดูให้จบกระบวนการจะพบว่า...
การยกเอาสิกขาบทมาล้วนๆ พระก็จะติดปัญหาเรื่องรับเงินรับทองกันเกือบจะหมดทั้งแผ่นดินเลย
หลวงพี่อยากจะเริ่มต้นอย่างนี้ว่า
โอเค...ที่ท่านพูดว่าต้องสละเข้าไปในสงฆ์ก่อนจึงจะปลงอาบัติตก ถ้าคุณไม่สละเข้าไปในหมู่สงฆ์ ก็จะปลงอาบัติไม่ได้ อาบัตินี้ก็จะค้างอยู่ตรงนี้ แล้วก็เหมือนกับที่ท่านพูดกระแนะกระแหนพระมหาเถระทั้งหลายว่า รู้สึกตัวกันบ้างไหมว่าตัวเองทำความผิดอย่างนั้นอย่างนี้...
ขอถามว่า...
ในเมื่อพระรับเงินไม่ได้แล้วสละเข้าไปในสงฆ์ๆ จะรับได้เหรอ?คิดว่าน่าจะผิดไหม?
ในเมื่อพระรับไม่ได้ แล้วสงฆ์จะรับได้เหรอ เพราะสงฆ์ก็คือพระ?
ถูกต้องที่ว่าสงฆ์ท่านเป็นผู้รับจริงๆ แล้วทำไมจึงไม่บอกต่อไปว่า รับแล้วสงฆ์จะเอาไปทำอะไรต่อเพราะถ้าสงฆ์เก็บเอาไว้ สงฆ์ก็ผิด เพราะในเมื่อขนาดพระองค์เดียวยังรับไม่ได้
แล้วพระหลายรูปจะรับได้เหรอ ถ้าสมมติว่ารับได้ ต่อไปหลวงพี่ก็เอาพระมาเยอะๆ ให้ครบสงฆ์ มันได้เหรอ ซึ่งจริงๆ แล้วมันทำไม่ได้
นี่คือจุดที่ท่านพูดไม่จบ
จุดที่จบก็คือว่าเมื่อสงฆ์
รับไปแล้วท่านจะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง วิธีดำเนินการของท่านมี 2 อย่างคือ1.
ท่านต้องเอาเงินนี้ไปเปลี่ยนเป็นของ ที่เหมาะสมกับการใช้งานของพระ วิธีเปลี่ยนคือ สมมติมีโยมที่พอไหว้วานเดินมา พระก็บอกว่ามีสิ่งนี้อยู่โยมก็จะถามว่า พระคุณเจ้าอยากให้เงินนี้เปลี่ยนเป็นอะไร พระก็บอกไป แล้วให้เขาเอาไป เขาก็หยิบไปจัดการให้ เอาเงินออกไปเลยแล้วแลกเป็นของที่จะใช้งานได้
ถ้าเกิดว่าโยมไม่ทำให้
พระก็อาจจะบอกว่าถ้าอย่างนั้นโยมเอาไปทิ้งหน่อย เพราะสงฆ์ไม่เอาอยู่แล้ว สงฆ์จะมีหน้าที่แค่เพียงบอกให้เขาเอาไปจัดการกับเงินต่อ โยมก็เอาไปทิ้งส่วนเขาจะไปทิ้งยังไงต้องไม่สนใจเพราะถือว่าจบไปแล้วในกรณีหาโยมไม่ได้
สงฆ์ต้องสมมติพระขึ้นมาองค์หนึ่ง เพื่อให้พระองค์นี้ไปทำหน้าที่เพื่อการทิ้ง คำว่าทิ้งต้องห้ามดูด้วยนะ ว่ามันจะไปตกตรงไหน เช่น จะเอาไปเหวี่ยงทิ้งลงแม่น้ำ ลงเหวก็ได้ พูดง่ายๆ ว่าเอาเงินนี้ออกไปให้ไกลพระที่สุดถ้าสมมมิว่าจะเก็บเอาไว้ เรื่องนี้วุ่นวายจนแทบจะทำกันลำบากมาก คือ ถ้าโยมบอกว่าจะเก็บเอาไว้ให้ แล้วเขาก็ถามว่าพระคุณเจ้าจะเก็บที่ไหน แล้วพระก็อาจพาไปหาที่เก็บแต่ก็ห้ามบอกว่าจะเอาไว้ตรงจุดไหนอย่างไร
ถึงเวลาจะไปเอามาใช้ พระก็ห้ามนำโยมไป แล้วบอกว่าเงินอยู่ตรงนี้ตรงนั้น คือแทบจะแตะอะไรไม่ได้เลยซึ่งถ้าเป็นยุคปัจจุบันนี้เรียบแน่ๆ
2.
หลังจากทิ้งทั้งหมดแล้วเป็นอันสิ้นสุดขั้นตอน คือในวัดจะไม่มีเงิน หรือถ้าจะมีอยู่ก็ต้องอยู่ในความดูแลซึ่งไม่ใช่พระแล้วโยมก็จะรู้แค่ว่ามันอยู่ที่ไหน พระก็จะรู้แค่ว่ามันอยู่ตรงไหน แล้วจะเอาไปใช้อะไรยังไงนี่เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีหนึ่งพระที่รับไม่มีสิทธิ์ใช้
คราวนี้พระที่ไปรับมา เมื่อรับมาแล้วสละให้สงฆ์ไปแล้ว พระรูปนี้จะไม่มีสิทธิ์ใช้อะไรในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดจากเงินนี้เด็ดขาดอย่างท่านพุทธอิสระ
หลวงพี่คิดว่าท่านเคยจับเงินนะเพราะเคยเห็นรูปท่านอยู่อย่างน้อยก็ที่โรงแรม แล้วท่านก็มักจะบอกว่าท่านเอาเงินที่ใครถวายท่านมาเข้าไปไว้ที่สงฆ์ โอเค สมมติว่าสงฆ์เอาเงินนี้ไปจัดการใช้ซื้อข้าวของต่างๆหลวงพี่อยากจะบอกว่า...
ท่านไม่มีสิทธิ์ใช้อะไรได้เลยจากเงินตรงนั้น แม้กระทั่งเขาจะไปทำหลังคาไปมุงไปอะไรก็แล้วแต่ ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปในพื้นที่ตรงนั้นด้วยซ้ำ นี่คือวิถีของสิกขาบทข้อนี้เวลาเราจะดูที่ประเด็น เรื่องสิกขาบท ถ้าเราจะเอากันเต็มๆ จริงๆ นี่ท่านก็อยู่ไม่ได้ อย่ามาบอกว่ารับเงินแล้วฉันเอาเข้าสงฆ์แล้วจบ...มันไม่จบ !
เพราะสงฆ์ก็เก็บไม่ได้ หรือคุณเอาไปใช้ซื้อข้าวซื้อของผ่านไวยาวัจกรมา คุณก็ใช้ไม่ได้ในฐานะที่คุณเป็นคนรับ
ในอดีตก่อนที่ท่านจะลาสิกขา
ท่านก็เคยเป็นเจ้าคณะตำบล แล้วก็เป็นเจ้าอาวาสด้วย เวลาโยมเขาเอาเงินมาถวายๆ ใคร ก็ต้องถวายเจ้าอาวาส คนมาทำบุญที่วัดเขาอยากทำบุญกับไวยาวัจกรเหรอ เขาก็อยากทำบุญกับพระทั้งนั้นแหละซึ่งท่านอาจจะบอกฉันก็รับไปอย่างนั้นแหละ ฉันไม่ยินดี แล้วฉันก็เอาเงินเข้าสงฆ์ นี่คือจุดที่ ท่านพูดไม่จบ ว่าแล้วสงฆ์เอาเงินไปแล้ว สงฆ์จะต้องทำอะไรต่อ?
หลวงพี่ถึงบอกว่าการรับเงินในปัจจุบัน ถ้าว่ากันโดยสิกขาบทแท้ๆ แล้วนะ ผิดเรียบแทบจะหมดประเทศ!
มีบ้างไหมที่ว่า...ไม่รับ
มีอยู่แต่มันน้อยเต็มที แล้วถ้าเอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องใหญ่มากในระดับที่ กล่าวหาพระทั้งหลายว่าคุณไม่ใช่พระแล้ว เพราะว่ารับเงินรับทอง หลวงพี่ว่าจะเหลือพระอยู่ไม่เกินหมื่นรูปในประเทศไทยหลวงพี่ถึงบอกว่า ยุคที่มันเปลี่ยนมันต้องมีจุดสมดุล ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะเล่นยกเอาสิกขาบทนั้น สิกขาบทนี้ขึ้นมาแล้วก็มานั่งไล่ตีเขา ในขณะที่ ตัวเอง ก็ยังไม่พ้นจากเรื่องตรงนี้เหมือนกัน
แต่รู้สึกชื่นชมพระมหาเถระทั้งหลายท่านนิ่ง นี่ต่างหากที่คือการแสดงถึงคุณธรรมในตัวออกมาว่า อย่าไปต่อความยาวสาวความยืด กับคนที่รู้อะไรไม่จริง
ถึงบอกว่ามันมีหลายอย่าง
ที่ต้องพิจารณาไม่ใช่ว่าเอา 2500 ปีนั้นมาครอบในยุคปัจจุบัน มันไม่สามารถครอบได้ทั้งหมด โครงสร้างของสังคมมันปรับเปลี่ยนแล้วเวลาเราพูดถึงการรับเงิน เราต้องคิดอย่างนี้ด้วยว่า ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่โอเค นั่นหมายความว่าเงินทองเป็นอันตรายจริงเราจึงต้องมานั่งดูกันว่า...
จะทำอย่างไรไม่ให้เงินมามีอิทธิพลจนกระทั่งจิตใจเราตกต่ำ เราจะขยับปรับเปลี่ยนแค่ไหนให้พอดีในยุคแบบนี้
เพราะว่าเวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบัญญัติสิกขาบท ท่านจะมีจุดพอดี ถ้าบัญญัติขึ้นมาแล้ว มันอาจจะตึงไปหน่อย แล้วพระก็ลำบาก ท่านก็เลื่อนลงเพื่อหาจุดสมดุล
อย่างเช่นสมัยพุทธกาลยุคแรกๆ พระไม่มีอะไรเลย พระไม่มีวัดอยู่ไม่มีกุฏิ อยู่ในที่แจ้ง ไปในถ้ำ ไปในป่า ถ้าสมมติท่านไม่อนุญาตอะไรให้เลย เอาแบบเคร่งครัดแบบสมัยนั้นเลย ถามว่าวันนี้จะมีพระอยู่ไหม... มันยาก
ดังนั้นท่านจึงค่อยๆ อนุญาตอะไรมาเรื่อยๆ และแม้กระทั่งบางคนนี่ท่านยังอนุญาต เพราะความที่เขาเป็นสุขุมาลชาติเป็นคนมีชาติตระกูลดีมาบวช ท่านก็อนุโลมอะไรบางอย่างให้
ท่านจะดูเหตุการณ์ ไม่ใช่อะไรมันเป๊ะๆ มา แล้วก็ต้องแบบนี้อยู่ตลอดกาล!
ดังนั้นเท่ากับว่าถ้าเรา
จะต้องอยู่กับเงินทองโดยเห็นอันตรายของมัน อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่ามา เราต้องหาจุดพอดี ณ วันนี้ว่ามันควรจะเลื่อนไปแค่ไหน ตรงไหนที่พระยังสามารถใช้ชีวิตแบบไม่ลำบาก อย่างเช่นว่าเดินทางเอาเงินถือไปก็ไม่ได้ วันนี้ต้องซื้อข้าวของ ค่าน้ำ ค่าไฟ คุณก็เอาเงินจ่ายไม่ได้อย่างนี้เวลาที่เรานั่งติงกันอยู่ทุกวันนี้ โดยมากเราก็มานั่งจับกัน เรื่องอาบัติ สิกขาบทของพระ ซึ่งบางทีมันเป็นเรื่องที่เก่ามาก เก่าในระดับที่ว่าถ้าพระยังคงแบบนั้นอยู่มันอยู่ไม่ได้
ก็จำเป็นจะต้องหย่อนลงมาเพียงแต่ว่าการหย่อนตรงนี้ต้องไม่กระทบวัตถุประสงค์หลัก
อย่างพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เงินทองเป็นของที่ไม่ควรกับสมณะ หลวงพี่ยังยืนยันว่ามันไม่ควรกับสมณะเพียงแต่ว่าวันนี้ พอมันมีความจำเป็นต้องใช้เงินใช้ทองขึ้นมา ทำยังไงให้มันไม่สามารถรุกล้ำความดีในตัวเราได้
มันจึงต้องมีจุดพอดีของมัน
ซึ่งตรงนี้จะทำให้พระก็ยังอยู่ในสังคมนี้ได้ สามารถที่จะทำงานพระศาสนาได้ ยังพัฒนาคุณความดีในตัวได้อย่างนี้จึงจะเป็นสิ่งที่น่าจะทำให้อายุของพระศาสนายืนยาวต่อไปความเคร่งเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเคร่งจนกระทั่งมันเป็นบอนไซ มันไม่น่าจะใช่เรื่องที่ดี
คลิกที่ภาพ ⏩เพื่อรับชมวีดีโอ
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
Fb เรื่องเล่าเข้าใจธรรม Live 25 ก.ค. 60
Fb ภาพดีๆ 072
ปู่ปล่อยไก่ นั่งเทียนอ้างพระไตรปิฎก ยกเมฆเงินทอนถึงขั้นปราชิก
Reviewed by สารธรรม
on
03:19
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: