พระธัมมชโยกับ 1 วันอันเรียบหรู
หมู่นี้ผมมีงานอดิเรก คือ “ตามเก็บศพ” คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ ที่ตายเพราะน้ำหมึกท่วมปอด
สมัยผมละอ่อนอ่านข่าวที่คนพวกนี้เขียนทีไร ผมเชื่อไปหมดทุกอย่าง
ถูก...ตอนนั้นผมกระบือไปหน่อย โลกสวย จิตใจดีเกินไป (เชื่อเถอะนะ) ไว้ใจคนง่าย คิดแต่ว่าเขาจะเขียนมาหลอกเราไปทำไมกัน
จนประเทศเกิดความเปลี่ยนแปลงประหลาดๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จึงเริ่มเอะใจว่าทำไมสิ่งที่ผมเข้าใจจึงแตกต่างไปจากที่สื่อพยายามยัดเยียดให้เหลือเกิน
จากที่เชื่อหมด
จึงกลายมาเป็นหมดความเชื่อ
เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่า คนเขียนคอลัมน์หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่ได้ฉลาดหรือรู้อะไรมากไปกว่าเราเลย เขาคือคนธรรมดานี่แหละ ที่ทำงานเพื่อดิ้นรนเอาชีวิตรอดไม่ได้มีจรรยาบรรณอะไรมากมายไปกว่าอาชีพอื่นหรอก (ที่ดี ๆ ชื่นชมนะครับจะด่าเฉพาะศพที่เก็บมาเท่านั้น)
ยิ่งมาถึงเรื่องวันนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรู้ดีกว่าเขาก็ยิ่งชัดเจนว่า
คนเขียนข่าวประเทศเราทำงานสุกเอาเผากินมาก ๆ ไม่ทำการบ้าน ไม่ตรวจสอบความถูกต้อง เขียนชุ่ย ๆ มักง่ายจนไม่น่าให้อภัย
แต่จะทำไงได้ในเมื่อเมืองไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม กระบือจึงยังมีมากพอให้เขาหลอกอยู่
เขาแค่ตวัดปากกาว่าร้ายเงียบ ๆ พิมพ์แล้วลำเลียงไปขายแค่นี้คนบ้างควายบ้างก็ได้ยินเรื่องร้าย ๆ ของเขาไปทั้งบ้านทั้งเมือง
ก่อนนี้ผมไม่รู้จะสู้กับคนสปีชีย์นี้อย่างไร ตะโกนจนลิ้นไก่บวมกลัดหนองก็ไม่มีใครได้ยินโชคดีที่ตอนนี้มีอินเตอร์เนต เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ บล็อก ไลน์ ที่เปิดช่องทางให้สู้กับปลายปากการ้าย ๆ ได้สมน้ำสมเนื้อขึ้นมาหน่อย
ศพวันนี้เก็บได้ที่หนังสือพิมพ์ “ทื่อ-เบลอ-ตื้น” นอนคว่ำหน้าอยู่บนคอลัมน์ชื่อ “1 วันอันเรียบหรูของธัมมชโย”
แค่ชื่อคอลัมน์ก็ด่ามันได้ตั้งแต่บรรทัดแรกละ จะเติมคำว่า "พระ" นำหน้าวิญญาณจะหลุดจากร่างหรือไง...สันขวานจริง ๆ ครับผม
ขณะอ่าน อยากคิดในแง่ดีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ยิ่งอ่านยิ่งแน่ใจว่าพี่แกจงใจโน้มน้าวให้คนเข้าใจผิดแน่นอน
มาเริ่มกันเลย...
- คนเขียนอ้างว่า “ได้ข้อมูลจากกลุ่มคนที่เข้าออกวัดพระธรรมกายอย่างสม่ำเสมอกว่าปกติ ว่าหลวงพ่อตื่นระหว่างตี 4 ถึง ตี 5 เพราะเชื่อว่าตื่นนอนแต่เช้าทำให้ร่างกายสดชื่น เพราะเป็นเวลาที่ได้รับพลังงานจากพระอาทิตย์ในยามเช้า เพราะฉะนั้นจึงเลือกนอนเร็ว ตื่นเช้า เพื่อมารับพลังงานดังกล่าว”
สม่ำเสมอมันก็คือปกติอยู่แล้ว ยังจะมาสม่ำเสมอกว่าปกติอีก มันเป็นยังไงวุ้ย ใช้ภาษาไทยได้เขมรมากครับ
เอาแบบคนไม่ต้องเข้าวัดเลยนะ ชาวพุทธทั้งประเทศรู้ดีว่า พระทั้งโลกนอนเร็ว ตื่นเช้า ไม่ใช่เพราะจะมารับพลังอะไรแต่เพราะเป็นกิจของพระอยู่แล้วไก่ยังไม่ขัน
ท่านก็ตื่นมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วออกไปบิณฑบาตถ้าตื่นสายก็อดฉันจึงไม่ใช่มารอรับพลังบ้าบออย่างที่เพ้อมา
ท่านก็ตื่นมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วออกไปบิณฑบาตถ้าตื่นสายก็อดฉันจึงไม่ใช่มารอรับพลังบ้าบออย่างที่เพ้อมา
และท่านคงตื่นแบบนี้มาอย่างน้อยก็ตั้งแต่บวช คือ 47 พรรษาแล้ว จะมาทำเป็นตื่นเต้นกับการนอนเร็วตื่นเช้าหาตะบักตะบวยทำไมไม่ทราบครับ
ที่สำคัญ การนอนเร็วตื่นเช้าทำให้ร่างกายสดชื่น มันไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็น Fact คือความจริง (คุยกับพวกนับถือผีนี่ยากจริง ๆ เอะอะมันก็จะอิงแต่ความเชื่ออย่างเดียว)
- ห้องพักอยู่ในทำเลที่ดีมาก เปิดผ้าม่านจะมองเห็นน้ำพุพุ่งขึ้นกลางสระน้ำ
วัดนี้ตอนสร้างขุดบ่อขุดสระไว้ทั่ววัด เพราะวางแผนดี ขุดบ่อได้สระน้ำ และได้ดินที่ขุดมาใช้งานด้วยไม่ต้องเสียเงินซื้อ กุฏิพระสร้างกระจายอยู่ใกล้น้ำทั้งนั้น ตื่นมาเห็นน้ำก็เรื่องธรรมดา
ไอ้น้ำพุนั่นก็อย่าจินตนาการว่า จะพวยพุ่งนุ่มนวลวิลิสมาหราแบบในหนัง หรือมีรูปปั้นโรมันอะไรผมเคยเห็นว่าน้ำพุวัดนี้มันไม่ได้สวยไปกว่าน้ำพุสาธารณะทั่วไปตรงไหนหรอก
แต่มีก็ดีจะได้เสริมบรรยากาศให้สงบร่มรื่นสมกับที่เป็นวัดปฏิบัติธรรมขึ้นมาอีกหน่อยบางจุดพุ่งมาจากท่อแรงดันกลางสระใหญ่เป็นลำสูงขึ้นไปหลายสิบเมตร เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้น้ำ
ถ้าสมมุติเกิดอารมณ์หยาดนภาลัย พายเรือเข้าไปใกล้ทำนองจะคิขุดราม่าเอามือรองน้ำพุแบบในหนังก็ระวังไว้ เพราะน้ำมันแรงระดับรถดับเพลิงฉีดใส่
อีกอย่างเขาไม่ได้เปิดทั้งวันทั้งคืนมันเปลืองไฟน้ำพุที่นี่จึงไม่ได้มีไว้เพื่อความสวยงาม
ดูภูมิทัศน์วัดเขาก็แล้วกัน ว่าสระน้ำมันเยอะขนาดไหน กุฎิพระลูกวัดก็เห็นน้ำพุได้เหมือนกัน ถ้าต้องการ
- และทอดตาไปยังบริเวณมหาเจดีย์ จะเห็นแสงอาทิตย์ยามเช้าที่กระทบและสะท้อนเป็นประกายเข้าหาตัว
ผมกล้าบอกเลยว่า สมัยเด็กคนเขียนมันโดดเรียนวิชาลูกเสือแน่นอนจึงไม่ได้รู้เรื่องทิศทางอะไร เวลาพี่ไปเชียงใหม่ยังใช้วิธีดูดาวเหนือเอาใช่ไหมครับ
ไม่ทราบว่าเราอยู่จักรวาลเดียวกันไหม แต่รู้ไว้ว่าเจดีย์อยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกุฏิท่านห่างกันเป็นกิโล จะมองไปทิศนั้นทำไมพระอาทิตย์มันไม่ได้โผล่แถวนั้นแสงที่ไหนมันจะสะท้อนมาถึงตัวได้เล่า เวรกรรม
อีกอย่างจะบอกให้เอาบุญในเขตวัดน่ะมองยังไงก็ไม่เห็นเจดีย์ เพราะมีกำแพงและต้นไม้หนาแน่นบังอยู่ ต่อให้ปีนข้ามกำแพงออกไปได้ก็จะมีกำแพงของอีกฝั่งมีอาคารอีกหลายหลังบังไว้อีกอย่าว่าแต่เห็นแค่ได้กลิ่นเจดีย์ยังหมดสิทธิ์
จะเขียนทั้งทีก็มาดูพื้นที่หน่อยเถอะถามจริงนั่งเทียนเขียนภายใต้ฤทธิ์ยาใช่ไหม?
- นี่คือแสงที่เชื่อว่าจะเพิ่มพลังให้
มันก็ว่าไปเป็นตุเป็นตะอยู่บ้านแย่งโทรทัศน์เมียมาดูดราก้อนบอลบ่อยละสิ เมียเคยบอกไหมว่าคลั่งพลังคลื่นเต่าไปมั้ยพ่อมึง
เอาวิชาการหน่อย เรื่องแสงแดดยามเช้ามีประโยชน์ต่อร่างกาย มันไม่ใช่ความเชื่อนะ แต่มันเป็น Fact เขารู้กันทั้งโลกแล้วว่าแสงแดดมีวิตามินดี โดยเฉพาะช่วงที่ดีคือ 6 โมง ถึงก่อน 9 โมงเช้า
หลวงพ่อตื่นตี 4 จึงไม่มีแสงอะไรให้เห็น แค่เป็นกิจวัตรของพระทั่วไปเท่านั้นแหละ พี่ก็เพิ่งวิวัฒนาการมายืน 2 ขาได้จึงตื่นเต้นกับเรื่องง่าย ๆ อย่างนี้ ทนนิดนะพี่อีกสักพักก็จะชินกับโลกเราไปเอง
- บรรยากาศยามเช้าได้รับการเพิ่มสีสันด้วยเสียงไก่ขันสลับเสียงจากนกยูงที่เลี้ยงไว้
ฮั่นแน่...พวกเชื่อหนังสือพิมพ์ง่าย ป่านนี้จินตนาการซะฟินไปแล้วมัง คงคิดประมาณบรรยากาศชนบท พระเอกนางเอกจูงมือกันมาริมคันนามองพระอาทิตย์ทอแสงที่ปลายฟ้า แว่วเสียงนกกาไก่ขันดังมาเบา ๆ
แต่โทษทีเรื่องนี้ผมอินไซด์ไปถามจากพระในวัดมาให้ ท่านบอกว่า
ไอ้ไก่กับนกยูงพวกนี้น่ารำคาญ มันขันกันไม่เป็นเวล่ำเวลา บางตัวขันตั้งแต่ตี 2 ตี 3 กว่า ไม่รู้ว่าจะขยันเอาถ้วยแกรนด์สแลมอะไร แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะมันก็อยู่เพ่นพ่านไปทั่ววัด
ดังนั้นไม่ต้องกุฏิเจ้าอาวาสหรอก พระทั้งวัดเขาก็ได้ยินกันทุกวันมันไม่ใช่เรื่องโรแมนติกอะไรเลย
ไอ้ประเภทเสียงไก่สลับเสียงนกยูงนั่นก็จินตนาการเกิ๊น พวกนี้มันสัตว์เดรัจฉานไม่รู้หรอกว่าต้องประสานเสียงกันยังไง นึกอยากจะขันจะร้องตอนไหนก็ตามอำเภอใจของมัน อิสระ มีประชาธิปไตยกว่าคนไทยอย่างเราเสียอีก
แหมทำเป็นสร้างอารมณ์ร่วมใช้คำว่า "สลับกัน" นะ ประมาณ อ่ะ...ไอ้ไก่ ถึงคิวพวกมึงขันละ...พอได้...หยุด ตาพวกกูนกยูงมั่ง เอ้าร้องพร้อมกันพวกเรา...คิดได้ประสาทแดกมากครับ จะสลับโรแมนติกขนาดนั้น มันต้องเปิดเทปกันแล้วละ
ตอนเด็ก ๆ พ่อแม่ไม่เคยพาไปเขาดินใช่ไหมครับ ถึงไม่รู้ว่า นกยูงเป็นสัตว์ที่มีเสียงร้องอุบาทว์มาก ไม่ควรใช้คำว่าร้องด้วยซ้ำ เรียกว่า "แหกปาก" จะเหมาะกว่า
ก่อนจะเขียนให้คนเข้าใจว่าโรแมนติกน่ะ ไปทำการบ้านหน่อย
ก่อนจะเขียนให้คนเข้าใจว่าโรแมนติกน่ะ ไปทำการบ้านหน่อย
แต่ว่าก็ว่านะ เพิ่งรู้นี่แหละว่าการได้ยินเสียงไก่ขัน มันคือหรูไฮโซไปแล้ว ปกติวัดไหนมีไก่ขัน มักจะเป็นวัดตามชนบท หลวงพ่อหลวงพี่ที่อยู่วัดป่าหรือวัดบ้านนอก รู้ตัวไว้นะครับว่า คนกรุงเขาอิจฉาว่าพวกท่านหรูหราไฮโซ
- หลวงพ่อติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด ห้องปลอดเชื้อยังมีจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่รับสัญญาณจากช่องต่างๆ
ที่ทราบมาหลวงพ่อวัดนี้เป็นนักอ่านหนังสือครับ ไม่ใช่นักดูโทรทัศน์ข่าวสารบ้านเมืองท่านไม่เสียเวลาสนใจ งานของท่านมากมายแทบไม่มีเวลาเป็นส่วนตัว นึกง่าย ๆ ก็ได้ว่า
ถ้าคุณเป็นประธานบริษัทที่มีพนักงานเป็นหมื่น วัน ๆ คุณจะเสียเวลาดูข่าวทางโทรทัศน์ไหม เวลาของคุณควรจะหมดไปกับเรื่องอะไร ลองนึกดู
เจ้าอาวาสวัดนี้ รับผิดชอบคนเป็นหมื่นชีวิตทุกวัน เวลาท่านมีค่ากว่าดูข่าวเยอะครับ เท่าที่ทราบเวลาส่วนใหญ่ท่านใช้ไปกับเรื่องสมาธิ ไม่ก็ติดตามงานดูแลวัดให้เรียบร้อย
- ใช้สบู่ราคาแพงที่สุดในโลกยี่ห้อ ดร.ปาโยต์ ใช้ในการบำรุงผิวพรรณราคาก้อนละ 2,000 จากลูกศิษย์ที่เลื่อมใส
ความจริง คนพุทธประเทศนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องวินัยพระนะ จึงชอบมองว่าของมีราคาพระใช้ไม่ได้ ซึ่งผิด แต่เรื่องนี้ยาวต้องไปเขียนเล่าต่างหากจึงจะดี (ขอติดไว้ก่อน)
แต่สรุปให้ตรงนี้สั้น ๆ ว่า
โยมถวายของมูลค่าเท่าไหร่ก็เรื่องของโยม ถ้าเป็นของที่ได้มาชอบธรรม ไม่ผิดวินัยที่พระพุทธเจ้าห้าม พระใช้ได้ทุกอย่างครับ โยมถวายรถราคาหลายล้านบาทยังรับไว้ใช้ได้เลย สบู่ 2,000 บาท กระจอกมากครับเรื่องนี้ (ถ้าจริงนะ)
โยมถวายของมูลค่าเท่าไหร่ก็เรื่องของโยม ถ้าเป็นของที่ได้มาชอบธรรม ไม่ผิดวินัยที่พระพุทธเจ้าห้าม พระใช้ได้ทุกอย่างครับ โยมถวายรถราคาหลายล้านบาทยังรับไว้ใช้ได้เลย สบู่ 2,000 บาท กระจอกมากครับเรื่องนี้ (ถ้าจริงนะ)
แต่เชื่อไหมเท่าที่ถามพระในวัดมา ท่านเล่าว่าปกติใช้ของไม่ซ้ำยี่ห้อกันหรอกมีบางองค์เจ้าภาพปวารณาถวายประจำก็ใช้ตามที่เจ้าภาพถวายไม่ได้เรียกร้อง
บางองค์ใช้ยี่ห้อหนึ่ง พอหมดได้อีกยี่ห้อหนึ่งมาก็ใช้ไปไม่ได้สนใจว่าราคาเท่าไหร่สนใจแค่ว่ามันคือสบู่ถูตัว
บางองค์ใช้ยี่ห้อหนึ่ง พอหมดได้อีกยี่ห้อหนึ่งมาก็ใช้ไปไม่ได้สนใจว่าราคาเท่าไหร่สนใจแค่ว่ามันคือสบู่ถูตัว
อย่างหลวงพ่อ ถ้าจะออกปากขออะไรเชื่อผมเถอะ คนจะแห่ไปหามาให้ท่านใช้กันมืดฟ้ามัวดิน แต่เพราะท่านไม่ขอไม่บอกอะไร มีอะไรท่านก็ใช้อย่างที่มี เว้นแต่โยมเก่งซอกแซกหาทางถวายจนได้ เช่นผ่านอุปัฏฐากมา ถ้าสมควรท่านก็ใช้เพื่อรักษาศรัทธาโยม
แต่นักข่าวอย่างคุณมันเป็นโยมขี้เหม็นไงใจจึงไม่คิดแบบนั้น เห็นอะไรก็คำนวณราคากันไปหมด และแพงไม่ได้รู้สึกปรี๊ดทันที
ทั้ง ๆ ที่พระท่านไม่ได้ดูราคา แต่ดูว่ามันคืออะไรถูกวินัยไหม...จบ
ทั้ง ๆ ที่พระท่านไม่ได้ดูราคา แต่ดูว่ามันคืออะไรถูกวินัยไหม...จบ
ไม่เชื่อลองซื้ออะไรไปถวายพระสิ ถามท่านดูว่ารู้ราคาไหม ? เท่าไหร่ ? เชื่อเถอะ ถาม 10 รูป ตอบไม่ได้ซะ 9 อีกหนึ่งตอบถูกเพราะเดาเก่ง
ไอ้แหล่งข่าวมันไม่ได้เล่าใช่ไหมว่าหลวงพ่อใช้ยาสีฟันอะไร แปรงสีฟันอะไร...ถ้าขนาดสบู่ยังใช้ราคาเท่านี้ ของอย่างอื่นไม่ยิ่งกว่านี้หรือ
ที่มันไม่เล่าเพราะมันไม่กล้าบอกไงครับ เพราะมันรู้ว่าท่านก็ใช้ทั่ว ๆ ไปเหมือนเราใช้นี่แหละ
พระใช้ก็เพราะโยมถวาย ไม่ได้ใช้เพราะราคาแพงหรือเพื่อผิวพรรณ
เอางี้...มาดูดินสอที่หลวงพ่อใช้ก็แล้วกันมึง ท่านใช้ของประหยัดกว่าใครในวัด ดินสอด้ามด้วนจับไม่ได้แล้วยังไม่ยอมทิ้ง เอาด้ามใหม่มาต่อให้พอเขียนได้พระแบบนี้จะใช้สบู่ก้อนละ 2,000 ตามใจอยากได้หรือไงครับ
ไปคิดดูเอาเองอธิบายมากสมองพี่ก็ยังพัฒนาไม่พอรองรับอีก โง่ไปพลาง ๆ ก่อนละกัน
- หลวงพ่อให้ความใส่ใจเป็นพิเศษกับการรักษาผิวพรรณให้ดูขาวใสตลอดเวลา ผิวพรรณเปล่งปลั่ง หมายถึงพลังพิเศษที่ซ่อนอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นหลวงพ่อมีจีวรปกปิดร่างกายค่อนข้างมิดชิดตลอดเวลา
มีคนได้ยินจากปากหลวงพ่อมาเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อร้อนจะตาย แต่เพราะร่างกายโดนลมไม่ได้ มันสะท้าน จึงต้องทนห่มจีวรแบบนี้ ใครว่าดีมาลองห่มดูบ้างสิ
บ้านเราเมืองร้อนครับ ร้อนฉิบหายด้วยมันไม่ได้เป็นเรื่องสบายถ้าหลวงพ่อหายป่วย ท่านก็ห่มเหมือนพระลูกวัดนั่นแหละ ความจริงท่านเพิ่งเอาผ้าคลุมกันลมก็ตอนอายุ 60 กว่าเข้าไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็ลุยแดดลุยฝนมาตลอดเหมือนกัน ถ้าจะรักษาผิวพรรณ ท่านคงรักษาตั้งแต่หนุ่ม ๆ แล้วละ มารักษาทำไมตอนบั้นปลายชีวิต...คิดสิครับคิด เขียนแบบคนรู้งู ๆ ปลา ๆ อายหมามันบ้างเถอะ
ถ้าท่านเป็นคนสำอางค์ คงไม่มีทางสร้างวัดนี้ได้หรอก เพราะการสร้างวัดเริ่มจากทุ่งนาฟ้าโล่ง ไม่มีอะไรเลย (เงินจะสร้างก็ไม่มี) ต้องอดทน ต้องสู้งาน เรื่องจะหลบแดดรักสวยรักงาม เลิกพูดไปเลย เหม็นขี้ฟันครับ
- มีพยาบาลผู้ดูแลผิวพรรณให้คำแนะนำขั้นตอนการประทินผิว ใช้ครีม เซรั่มบำรุงผิว ใบหน้า นวดหน้า เช้า กลางวัน เย็น ยิงแสงเลเซอร์กำจัดรอยด่าง ขน หนวดเคราใช้วิถีถอนถาวร นี่จึงเป็นคำตอบว่า อายุ 72 ปี จึงมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาอ่อนวัย
ถ้ามีพยาบาลคนนี้จริง ป่านนี้นักข่าวคงวิ่งไปขุดคุ้ยกันยกใหญ่ เรื่องแบบนี้ฝูงไฮยีน่าคงไม่ปล่อยไปง่าย ๆ หรอกไปหาตัวมาสิครับพยาบาลนั่นน่ะ
คนนั่งสมาธิมาก ๆ นี่แปลกนะ ผิวพรรณวรรณะจะดี และเพราะชีวิตไม่มีความเครียด หน้าตามันก็ดูอ่อนวัย ผมสังเกตดูไม่ใช่แค่พระวัดนี้นะขนาดโยมที่นั่งสมาธิมาก ๆ ก็อ่อนวัยเหมือนกัน
ไอ้พวกคุณมันคอยคิดแต่เรื่องเลวร้าย ไม่เคยเชื่อว่าจะมีคนดีในโลก ชีวิตระแวงแบบนี้มันก็เครียดตลอดเวลา
หน้าตาเลยเหมือนช้างคือเหี่ยวตั้งแต่เกิด คิดได้แต่ว่าถ้าจะให้เต่งตึง ต้องพึ่งเลเซอร์ ซีรั่ม คนปัญญาต่ำมันก็คิดได้ประมาณนี้เห็นใจนะพี่ แต่ก็สมน้ำหน้าด้วย
หน้าตาเลยเหมือนช้างคือเหี่ยวตั้งแต่เกิด คิดได้แต่ว่าถ้าจะให้เต่งตึง ต้องพึ่งเลเซอร์ ซีรั่ม คนปัญญาต่ำมันก็คิดได้ประมาณนี้เห็นใจนะพี่ แต่ก็สมน้ำหน้าด้วย
- ใบหน้าบางเวลามีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ คนใกล้ชิดบอกว่าไปสักมา
นี่พูดถึงหน้าหรือจอคอมพิวเตอร์ครับ เป็นรูปหัวใจ มี "บางเวลา" ด้วยนะ คืออะไรครับ บางทีเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว บางทีเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูเหรอ
ที่จริงพี่เป็นพวก X Men ใช่ไหมครับ เป็นวูฟเวอรีนเหรอ เห็นคนธรรมดาจะจับแปลงร่างให้เรื่อยเลย
ที่จริงพี่เป็นพวก X Men ใช่ไหมครับ เป็นวูฟเวอรีนเหรอ เห็นคนธรรมดาจะจับแปลงร่างให้เรื่อยเลย
คนใกล้ชิดบอกไปสักมาเอะอะก็อ้างคนใกล้ชิดอีกละมันคือใครครับ.?
วิญญาณภูตพรายสิงอยู่ตามขื่อกุฏิเหรอ หรือพวกหมอมะนาวจอมมโนนั่น...พวกนี้มันบอกไหมครับว่าอุปัฏฐากดูแลหลวงพ่อเป็นไอรอนแมนน่ะ
วิญญาณภูตพรายสิงอยู่ตามขื่อกุฏิเหรอ หรือพวกหมอมะนาวจอมมโนนั่น...พวกนี้มันบอกไหมครับว่าอุปัฏฐากดูแลหลวงพ่อเป็นไอรอนแมนน่ะ
- พิถีพิถันเรื่องการแต่งกาย จีวรทุกผืนต้องรีดจนเรียบ โดดเด่นกว่าจีวรพระรูปอื่น
จีวรพระมี 3 ผืน สีเดียวกันนุ่งห่มยังไงก็ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้กับวันอื่นแตกต่างกันอย่างไร จึงไม่มีความจำเป็นต้องพิถีพิถัน ผมเห็นจีวรพระแต่ละรูปก็คล้ายกันไม่ได้โดดเด่นกว่ากันตรงไหนมันก็สีส้มทั้งนั้นในสายตาผม
เออ ถ้าท่านห่มจีวรเบอเบอรี่ หรืออาร์มานี่ ก็ว่าไปอย่าง
เท่าที่สันนิษฐาน (จากคนติดตามใกล้ชิด...อ้างบ้าง เออ อ้างง่ายดีโว้ย ดูสิใครจะใกล้ชิดกว่าใคร มาสู้กันมึง)
ดังนั้นในวัย 72 ปี การจะมีพระมาช่วยดูแลปัจจัย 4 ของท่านจึงเป็นเรื่องสมควร ทำอะไรให้ครูก็ต้องทำให้ดีที่สุด การรีดจีวรก็ไม่แปลก
พระรูปอื่นวัดอื่นก็รีดเหมือนกัน พวกคุณใส่เสื้อรีดกันไหม เป็นเรื่องแปลกไหมไอ้รีดผ้าเนี่ย...ถ้าไม่กรุณาหุบปากเถอะเดี๋ยวหมามันจะเข้าไปนอน
พระระดับหลวงพ่อ คงมีพระลูกวัดจำนวนมากอยากเข้าไปช่วยอุปัฏฐากท่านแทบตาย เพราะการได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ยิ่งจะได้ความรู้และความดี
ดังนั้นในวัย 72 ปี การจะมีพระมาช่วยดูแลปัจจัย 4 ของท่านจึงเป็นเรื่องสมควร ทำอะไรให้ครูก็ต้องทำให้ดีที่สุด การรีดจีวรก็ไม่แปลก
พระรูปอื่นวัดอื่นก็รีดเหมือนกัน พวกคุณใส่เสื้อรีดกันไหม เป็นเรื่องแปลกไหมไอ้รีดผ้าเนี่ย...ถ้าไม่กรุณาหุบปากเถอะเดี๋ยวหมามันจะเข้าไปนอน
- ห่มคลุมจีวรคล้ายเครื่องแต่งกายของภิกษุณี หลายครั้งสวมหมวก จำเป็นต้องปิดร่างกายเพราะแพ้แสงแดด
อื่อเอาเข้าไป ตอนเช้าหาว่าท่านตื่นมารับแสง ตอนนี้บอกแพ้แสงอีกแล้ว ก่อนพี่จะเดิน 2 ขาได้ วิวัฒนาการมาจากสายปลาทองใช่ไหมครับขี้ลืมจริง
เครื่องแต่งกายคล้ายภิกษุณี (เป็นไงหว่า ?) นี่คือพยายามจะสื่อว่าท่านเหมือนผู้หญิงใช่ไหม บอกตามตรงถ้าอยู่ใกล้ ๆ ผมเอา Teen ตบปากแตกไปแล้วนะเนี่ย
แม้สื่อจะต้องเจาะหาข่าวแบบ “หมาเฝ้าบ้าน” แต่ก็ไม่ควรระรานไปไล่กัดใครที่เขาไม่สู้ โดยเฉพาะพระ เพราะท่านไม่ไปกัดกับหมาอย่างคุณแน่นอน ดังนั้นอย่าย่ามใจทำอะไรให้เกรงกลัวบาปกรรมบ้าง
- ไม่มีใครยืนยันข่าวลือว่า ท่านมีร้านตัดจีวรส่วนตัวโดยเฉพาะย่านถนนสีลม
ขนาดไม่มีใครยืนยันมันยังเอามาเขียนอีก โอย...ขำจนไขมันสะสมแล้วเนี่ย ไม่ไปให้โหงพรายใกล้ชิดมันยืนยันให้ละครับหรือมันก็ไม่รู้
ตกลงจะสื่ออะไรครับ ถนนสีลมเหรอ อ้อ ย่านธุรกิจ พยายามโน้มน้าวให้คนอ่านรู้สึกว่าหรู โธ่...ถ้าจะเปิดร้านแถวสีลมนะ ผมไม่เปิดร้านตัดจีวรแน่ ๆ พระที่ไหนจะถ่อมาซื้อหว่า เจ๊งตั้งแต่คิดละ
ที่จริง วัดนี้เขามีโรงตัดเย็บจีวรให้พระอยู่แล้ว ฝีมือดี พระทั้งวัดจึงมีจีวรคุณภาพดีใช้ทุกรูป
- มีวินัยในการฉันอาหารมาก มีโรงครัวส่วนตัวสำหรับเจ้าอาวาสโดยเฉพาะ
คนอ่านที่กระบือ ๆ หน่อย จินตนาการไปไกลแล้วใช่ไหมครับ ว่าเมนูประมาณหมูเห็ดเป็ดไก่ หูฉลาม เป๋าฮื้อ รังนก อุ้งตีนหมี
โถ...โรงครัวที่ว่า มันก็พื้นที่หย่อมหนึ่ง กับคนที่คอยทำอาหารถวายหลวงพ่อไม่กี่คน
ไอ้แหล่งข่าวมันไม่ได้บอกใช่ไหมครับว่าอาหารหลวงพ่อเป็นอย่างไร มันคงไม่กล้าบอกหรอกเพราะกลัวคนจะเห็นใจ
ก็อาหารของท่านเป็นอาหารสุขภาพสำหรับผู้ป่วย มีแต่ข้าวต้มกับผักเป็นหลัก ถ้าเทียบกับพระลูกวัดแล้ว อร่อยสู้ลูกวัดไม่ได้นะครับ
- ทุกเย็น 17.00 น. จะออกกำลังกายด้วยการเดิน
ข้อนี้ผมไปไม่เป็นเลยนะ ก็ท่านเป็นพระจะให้ไปเตะบอลรึไงมึง...
- สิ่งที่ทำในยามว่าง คือการแต่งเพลง แต่งกลอน และเขียนบทกวี
จงรู้ไว้ว่า เวลาว่างของท่านแทบไม่มี ถ้ามีท่านก็เอาไปนั่งสมาธิของท่าน ไอ้แต่งเพลง แต่งกลอนอะไรนั่น นาน ๆ จะเห็นกันสักที ปีหนึ่งมีออกมาไม่กี่ครั้งเฉพาะเทศกาลสำคัญ เช่น ปีใหม่
และเนื้อหาที่เขียนก็มักเป็นคำอวยพร หรือไม่ก็เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ท่านเป็นพระไม่ใช่สุนทรภู่มึง
- ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่ท่านจะเปิดเพลงที่โปรดปรานคลอไปกับเสียงเทศน์ในบางครั้ง
ท่านไม่ผิดปกติหรอก แต่ไอ้คนเขียนนี่แหละผิดปกติ สมัยท่านแข็งแรงมาเทศน์ทุกวัน ก็ไม่รู้ไปมุดอยู่รูหนอนไหนถึงไม่มาฟัง ถ้ามาคงไม่กล้าเขียนอย่างนี้
เปิดเพลงคลอเสียงเทศน์ ทำยังกับวัดเป็นร้านเหล้าไปได้ตอนเทศน์ท่านก็เทศน์ ตอนเปิดเพลงท่านก็เปิดเพลงไม่เคยเทศน์คลอเสียงเพลงสักครั้ง
มีใช้คำว่า "เพลงที่โปรดปราน" ด้วยนะรู้ไหมว่าท่านเปิดเพลงอะไรบ้าง มีทั้งลูกทุ่ง ลูกกรุง หมอรำ สุนทราภรณ์ เพลงสตริง เพลงฝรั่ง เพลงหนักแผ่นดินก็ยังเปิดตกลงคนอะไรเนี่ยโปรดปรานทุกแนวมั่วไปหมดขนาดนี้
ฮ่วย...ที่เปิดนี่เพราะทีมงานเขาเตรียมมาให้ พอถึงเวลาท่านก็ให้เปิดไม่มีอะไรซับซ้อน
ถึงเวลาอะไร ? ก็เวลาที่ท่านต้องพักเพราะท่านป่วย แต่ฝืนมาเทศน์จึงต้องเบรคให้ท่านพักเป็นช่วง ๆ บางครั้งเสียงหมด บางครั้งลมขึ้น บางครั้งนวดเท้า ฉันยา
เพลงอะไรท่านไม่ใส่ใจหรอก คนฟังเทศน์เขาเห็นเพราะอยู่ตรงนั้นใส่ร้ายท่านมากไปมั้ย
เพลงอะไรท่านไม่ใส่ใจหรอก คนฟังเทศน์เขาเห็นเพราะอยู่ตรงนั้นใส่ร้ายท่านมากไปมั้ย
จากที่เล่าให้ฟังมา ชีวิตหลวงพ่อเรียบง่าย ไม่ใช่เรียบหรู และไม่ต่างจากพระทั่วไป เป็นแบบอย่างแห่งความดีงาม เพราะอย่างนั้นลูกศิษย์จึงเคารพรักท่านยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
อาศัยแค่อ้างอิงจากแหล่งข่าวที่เป็นคนใกล้ชิด
ซึ่งไม่รู้ว่าใคร ใกล้ชิดแค่ไหนเป็นกุมารทอง หรือเป็นหนอนในหลุมส้วมหรือไงจึงพล่ามออกมาได้เป็นวรรคเป็นเวรอย่างนี้
ถ้าคนเขียนฟังแหล่งข่าวแล้วเชื่อเป็นการส่วนตัวคงไม่มีปัญหา แต่นี่นำสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รู้จริงมาเขียนเพื่อโน้มน้าวให้คนเชื่อตาม เป็นบาปกรรมต่อคนเป็นหมื่นเป็นแสนคน
ความชั่วระดับนี้ พี่คือ “ผู้ก่อการร้ายสากลสายหนังสือพิมพ์” ได้เลยนะ
เรื่องโดย ความคิดคม
พระธัมมชโยกับ 1 วันอันเรียบหรู
Reviewed by สารธรรม
on
07:05
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: