ตอกกลับ 7 ประเด็นดับ ในบทความวิถีแห่งธรรมกาย


ตอกกลับประเด็นดับ 

วิถีแห่งธรรมกาย


   ประเด็นดับที่ 1   

 “ยุทธการเด็ดหัวธรรมกาย ด้วยการจัดการกับเจ้าสำนักขาเน่ายังเป็นที่จับตาของชาวพุทธผู้ห่วงใยพระศาสนาว่า  DSI เอาจริงมากแค่ไหนจะเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือไม่...” 

เราอาจจะต้องประเมินคอลัมน์นี้ แม้จะบอกว่าเป็นมุมกฎหมาย แต่บทความกลับไม่ได้เกี่ยวกับกฎหมาย เป็นเรื่องของสถานการณ์ว่า ทางวัดจะถูกดำเนินการอย่างไร

จากการเริ่มต้นด้วยถ้อยคำที่ใช้เรียกอาการป่วยของหลวงพ่อ ก็ฟ้องถึงวิจารณญาณของคนเป็นคอลัมน์นิสต์ คนที่เขียนแบบนี้ก็พอรู้ได้ว่า มีทัศนคติเป็นลบกับวัดพระธรรมกาย

ถ้าพูดถึงเรื่องการจัดการกับวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นเรื่องการฟ้องร้องทางกฎหมาย ที่ยังอยู่ในกระบวนการ เราก็คงไปก้าวล่วงเร่งรัดอะไรไม่ได้

เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าที่ของเขา ทางวัดก็จะต้องแก้ต่างยืนยันว่าวัดไม่ผิดอย่างไร ก็สู้กันด้วยด้วยข้อเท็จจริงที่ปรากฏ


การเขียนว่า

ไม่สามารถจัดการกับวัดพระธรรมกายได้.! 

มันเหมือนกับคุณไปอยู่ขั้วโลกเหนือมาหรือเปล่า ถึงไม่รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับวัดพระธรรมกายในช่วงที่ผ่านมา 

คุณไม่เห็นหรือว่าเขาใช้ ม.44 ที่ไม่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยจริงๆ มันเป็นช่วงของการใช้กฎหมายแบบสั่งได้เลย โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น เป็นคอลัมน์นิสต์คงพอเข้าใจว่า ม.44 ทำอะไรได้บ้างใช่ไหม
คุณเคยเห็นการบุกเข้ามาของเจ้าหน้าที่ เพื่อมาจับผู้ที่คิดว่าทำความผิดโดยสนธิทั้งกำลังตำรวจ ทหารหลายพันคน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาล้อมวัดอยู่เป็นเดือน นี่คือจัดการวัดพระธรรมกายไม่ได้อย่างนั้นหรือ

ในเมื่อ ม.44 ยังทำอะไรตรงนี้ไม่ได้ แล้วทำไมคุณไม่มองในมุมกลับว่า...

นี่คือสุดกำลังของอำนาจของเจ้าหน้าที่แล้ว เมื่อตรวจแล้วไม่เจออะไรดังนั้นเขาก็ถอยกลับไปก็สมเหตุสมผล แล้วยังไง คุณจะให้เขาถล่มวัดหรือ

ฉะนั้นประโยคแบบนี้ออกจะ อคติ ไปสักหน่อยกับ วัดพระธรรมกาย คนที่จะเขียนแบบนี้ได้คือคุณตัดสินไปแล้วว่า วัดพระธรรมกายผิด  


   ประเด็นดับที่ 2   

 “...อันเนื่องมาจากอำนาจเงินของธรรมกาย ที่มีอิทธิฤทธิ์บันดาลได้ทุกอย่าง ทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ให้เป็นไปได้ ”


เรื่องของการใช้เงินก็เป็นข้อหาที่วัดโดนมาตลอด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าวัดพระธรรมกาย มีสาธุชนทำบุญมามากเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ

แต่สิ่งที่เขาไม่ได้เขียนต่อก็คือ วัดพระธรรมกายเอาเงินจำนวนมากเหล่านี้ไปทำอะไร ?


ถ้าพูดแบบเปิดอกว่าวัดพระธรรมกาย จะยอมเสียเงินไปติดสินบนหรืออะไรไหม หลวงพี่กล้าบอกเลยว่าวัดนี้ไม่ทำ เพราะปัจจัยที่โยมทำบุญมาสนับสนุนงานพระศาสนา เขาหามาด้วยความยากลำบาก

ถ้าเราเอาเงินเหล่านี้ไปติดสินบน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่ เท่ากับว่าเราเอาเงินของโยมที่ตั้งใจทำอย่างหนึ่ง แต่เอาไปทำอีกสิ่งหนึ่งที่ผิดกฎหมาย 

ความจริงน่าจะมองอย่างนี้ว่า

เงินที่ญาติโยมสาธุชนเอามาถวาย วัดไม่มีนโยบายเก็บเงิน แต่มีนโยบายว่าจะใช้เงินอย่างไรให้คุ้มค่ากับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

สิ่งที่คุณเห็นก็ประเมินได้อยู่แล้วว่า วัดใช้ปัจจัยที่ญาติโยมถวายมากขนาดไหน อาคารใหญ่โตทั้งหลายที่มีอยู่ในวัด หรือรูปแบบของกิจกรรมที่วัดทำ วัดก็ใช้เงิน 

เท่ากับวัดนี้ก็เปิดเผยว่า คนเขาทำบุญมาเยอะจริง แล้ววัดก็เอาไปทำจริงๆ ถ้าวัดไม่ทำอย่างนี้ คุณไม่มีทางรู้เลยนะว่าวัดมีเงินเท่าไหร่ เพราะทุกอย่างจะปิดเงียบหมด


คุณคิดแค่ว่าเงินเข้าวัดนี้มากมหาศาล แต่คุณไม่คิดว่าแล้ววัดเอาไปใช้อะไรต่อ? 

อย่างเช่นเราจัดบวช ก็แสดงให้เห็นเลยว่าตัวเลขมีเท่าไหร่ มีคนอยู่ต่อเท่าไหร่ มีพระที่จะสืบพระศาสนาต่อไปเท่าไหร่ แล้วเราสอนอะไรบ้าง

เพราะฉะนั้นการที่เราเปิดเผยอย่างนี้ หลวงพี่ว่ามันเป็นความโปร่งใสอย่างหนึ่งของวัดนะ  




   ประเด็นดับที่ 3   

“ แม้เจ้าสำนักจานบินจะไม่สามารถปรากฏตัวต่อสาธารณะได้ แต่คนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อกันว่าท่านยังอยู่ในวัดเพื่อบัญชาการขายบุญ เพื่อรอวันที่ฟ้าเปลี่ยนสี ...”


นี่คือความเชื่อหรือความจริง ?
คนส่วนใหญ่นี่ ส่วนเท่าไหร่ ?

การพูดลักษณะแบบนี้ก็เหมือนกับว่า วัดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง คงจะคิดว่าช่วงไหนที่วัดสบายไม่มีปัญหาอะไร แสดงว่ารัฐบาลกับวัดเป็นพวกเดียวกัน

เพราะฉะนั้นรัฐบาลไหนที่เข้ามาแล้วจัดการกับวัด คุณก็เห็นว่านั่นคือความชอบธรรม คือคุณตัดสินด้วยอคติไปแล้วว่าวัดนี้ผิด 

ทั้งที่เราไม่เป็นปฏิปักษ์กับอะไรเลย เราอาศัยอยู่ในประเทศนี้ก็อยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ประเทศเจริญขึ้นมา เราเห็นด้วยกับทุกๆ รัฐบาลที่จะช่วยทำให้ประเทศนี้ดีขึ้นมา

ในแง่ของนักบวช เรารู้ว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นประโยชน์กับคนไทย สังคมไทย เป็นประโยชน์กับคนทั้งโลก เป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าช่วยแก้ปัญหาของมนุษย์ทั้งโลกนี้ได้

ดังนั้นถ้าใคร หรือรัฐบาลไหนก็ตามที่เห็นคุณค่าของตรงนี้ โดยส่วนตัวหลวงพี่ก็สนับสนุน แต่ถ้ารัฐบาลไหนที่ไม่มีตรงนี้เราในฐานะประชาชนคนหนึ่งเราก็โอเคกับการที่เขาเป็นรัฐบาล 

แต่ว่ามันก็เหนื่อยเราหน่อยในแง่ที่จะไปช่วยผลักดัน ไปขายไอเดีย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เขาเห็นความสำคัญตรงนี้ 



   ประเด็นดับที่ 4   

“ลัทธิธรรมกายเติบใหญ่ จนแม้กฎหมายก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นรัฐอิสระที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ”

คือจริงๆ เขาก็พูดถูกนะ หลวงพี่ว่าเราก็ไม่กลัวกฎหมายนะ

เพราะว่ากฎหมายก็เป็นความยุติธรรมอย่างหนึ่ง เราก็ไม่ได้ทำความผิดก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร เพียงแต่ว่าคนเขียนก็ไม่น่าจะพูดว่า

เพราะวัดพระธรรมกายไม่ถูกจัดการ อย่างที่คนอยากให้เป็น ก็เลยตัดสินว่ากฎหมายทำอะไรวัดพระธรรมกายไม่ได้ แต่ทำไมไม่มองว่าเพราะวัดพระธรรมกายไม่ได้ทำอะไรผิด 

กฎหมายจึงให้ความยุติธรรมกับวัดเหมือนกัน อย่างที่เป็นอยู่ ณ วันนี้ ถามว่าจบสิ้นหรือยังมันก็ยังไม่จบแล้วยังอยู่ในกระบวนการของกฎหมาย

แต่ว่าคุณต้องการที่จะเร่งรัดอยากจะให้เอาตำรวจทั้งประเทศ มารุมวัดพระธรรมกายให้จบในวันสองวันหรืออย่างไร ?


คุณมองโลกตามความเป็นจริงหน่อย.!

ให้ความยุติธรรมกับคนทุกคน ที่อยู่ในประเทศนี้ด้วยความเสมอภาค ไม่ใช่พอเราตัดสินว่าเราไม่ชอบคนๆ นี้ แล้วก็ไปบอกว่านี่ไงกฎหมายทำอะไรไม่ได้ โดยไม่กลับไปมองว่ากฎหมายก็มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความยุติธรรมให้กับผู้คน

หมายความว่าถ้ากฎหมายยังทำอะไรใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ในทางกฎหมายต้องถือว่าเขาบริสุทธิ์ มันไม่มีคำตอบอื่น



   ประเด็นดับที่ 5   

“ธรรมกาย กลายเป็นวิถีแห่งการทำมาหากิน สร้างความร่ำรวยจากศรัทธาของชาวพุทธที่ขาดปัญญาด้วยการขายบุญ โฆษณาชวนเชื่อว่าจะร่ำรวยจากการบริจาคเงินให้ธรรมกาย ”


อย่างที่บอกว่าคอลัมน์นิสต์นี่เป็นง่ายจังเลย ไม่ต้องทำการบ้านอะไรเพียงแค่ 

ดูว่าวัดพระธรรมกายถูกมองอย่างไร แล้วก็เอาสิ่งนั้นมาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินวิเคราะห์ว่าวัดนี้เป็นอย่างนี้

เวลาพระไปเดินบิณฑบาต อยู่ในลักษณะที่ไปขอคนอื่นเขา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกว่า นี่คือสัมมาอาชีวะของพระคือมีสภาพขอ แล้วพระกับขอทานต่างกันอย่างไร ก็ขอเหมือนกัน

แต่ว่ามันไม่เหมือนกันตรงที่ว่า ขอทาน เขาขอโดยอาศัยความน่าเวทนาสงสาร เวลาคนเห็นแล้วรู้สึกว่า ทำยังไงจะให้เขาดีขึ้น

แต่พระไม่ได้อยู่ในฐานะของผู้ขอแบบนั้น เราขอโดยอาศัยความดีในตัวเรา ไม่ได้ไปขอในฐานะของคนที่ต่ำกว่าหมายความว่า เรามาเพราะอยากให้คนมีส่วนในบุญที่เราได้มาเป็นพระ ได้มาทำหนทางพระนิพพานให้แจ้ง 

ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกว่าพระเป็นเนื้อนาบุญให้กับญาติโยม ฉะนั้นโยมเอาอาหารให้กับขอทานๆ ต้องยกมือไหว้ แต่โยมเอาอาหารให้พระ โยมต้องยกมือไหว้พระ


เหมือนกันเวลาเราพูดถึงการทำบุญ 

หรือที่เขาใช้คำว่าขายบุญ วัดพระธรรมกายมีปัจจัยเข้ามาเยอะก็จริง แต่มันไม่ใช่ขาย วัดไม่ได้มีอะไรไปแลก วัดไม่มีอะไรให้คุณหรอก แต่คุณมาสนับสนุนเพราะคุณเห็นความดีของวัด หรือเชื่อมั่นว่าวัดนี้จะนำปัจจัยไปใช้ประโยชน์

การทำบุญจึงไม่ใช่การมาซื้อขาย คุณตัดสินใจเองว่าคุณจะทำหรือไม่ทำ




   ประเด็นดับที่ 6   

“การสร้างศรัทธานี่แหละคือ หลักสำคัญของวัด ซึ่งเมื่อมีศรัทธาแล้วไม่ว่าจะสอนยังไงก็เชื่อหมดไม่มีข้อสงสัยไม่คิด ไม่ต้องการเหตุผล เชื่อได้ทุกเรื่องแม้จะมีเหตุผลอธิบายยังไงก็ไม่อาจหักล้างความศรัทธาได้...”


พระพุทธศาสนาปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มต้นด้วยความศรัทธา 

เพราะศรัทธาเป็นจุดตั้งต้นที่ทำให้คนเชื่อมั่นในคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเชื่อมั่นก็เริ่มที่จะทำตามคิดตาม ความศรัทธาจึงเป็นความเชื่อมั่นที่ผ่านการพิจารณาด้วยสติปัญญาของคนๆ นั้นมาแล้ว ดังนั้นศรัทธาจึงไม่ใช่ความงมงาย


เพราะพระพุทธศาสนาอยู่ได้ด้วยความศรัทธาของผู้คน

ไม่มีวัดไหนในโลกนี้ที่จะเดินหน้าต่อไปได้โดยปราศจากศรัทธาจากสาธุชน ทีนี้การไปบอกว่าคนที่ศรัทธาคือคนที่ถูกหลอกมีปัญญาน้อย นี่คือการตัดสินอะไรที่ขาดความรับผิดชอบมากๆ 

วัดทุกวัดเราไม่รู้หรอกว่าคนเข้าออกเป็นใครบ้าง คนที่มาวัดมีทุกระดับ จากหลากหลายอาชีพ มีความรู้ตั้งแต่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ไปจนกระทั่งคนที่เป็น ด็อกเตอร์ เป็นศาสตราจารย์ เป็นมหาเศรษฐีก็มี ยากจนก็มี

หรือบางทีอาจจะเป็นนักธุรกิจในระดับมีธุรกิจที่มีสินทรัพย์มากเป็นหมื่นล้าน แล้วคุณบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนไม่มีปัญญาอย่างนั้นหรือ? 

คุณเหมาหมดเลยหรือว่าใครก็ตาม ที่มาเชื่อคำสอนหลวงพ่อ หรือวัดพระธรรมกาย คนพวกนี้ขาดปัญญาทั้งหมด ซึ่งคนที่จะคิดแบบนี้ได้คุณเป็นคน ... อย่าให้พูดเลยดีกว่าไปคิดต่อเองเถอะ



   ประเด็นดับที่ 7   

" วิธีการสร้างศรัทธาของวัด ใช้วิธีการสร้างภาพให้ดูยิ่งใหญ่ เป็นระเบียบ ใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้คนเชื่อ เมื่อมีศรัทธาแล้วก็สร้างเรื่องราวให้ตัวเองเป็นผู้มีคุณวิเศษ มีบุญญาธิการสามารถบันดลบันดาลให้สาวกมีความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยได้ "


ศรัทธาเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าเมื่อไหร่ศรัทธาแล้ว เราจะเปลี่ยนอะไรเขาไม่ได้อีกเลย

ทุกคนต้องเชื่อฟังหลวงพ่อหมดเลย ท่านพูดอะไรมาใครโต้แย้งไม่ได้ก็ไม่ใช่นะ ดังนั้นจึงไม่ควรไปดูถูกสติปัญญาว่าคนมาวัดนี้ว่า คือคนที่ถูกหลอก ไม่มีหัวคิด ไม่ฟังข้อโต้แย้งใคร 

เราฟังแล้ว ฟังมากด้วย เพราะยิ่งคุณว่าเรามากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เรากลับมาคิดเยอะว่าสิ่งที่คุณพูดมามันจริงหรือไม่จริง


วัดพระธรรมกายใช้คนร่ำรวย มีฐานะหน้าตาทางสังคมมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ? 

การเป็นพรีเซ็นเตอร์ คือ การที่เอาคนๆ หนึ่งไปขายสินค้า อย่างเช่นถ้าเป็นพรีเซ็นเตอร์ของวัดพระธรรมกาย ก็คงจะต้องเอาวัดพระธรรมกายไปพูดบ่อยๆ ให้คนภายนอกรู้ว่าวัดดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ 

เท่าที่หลวงพี่ทราบมา คนที่มาวัดพระธรรมกายจริงๆ เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่อยากให้คนรู้เยอะว่ามาวัดพระธรรมกาย เพราะพอพูดไปแล้วมันไปขัดแย้งส่งผลกระทบเยอะ กับการทำงานหรือวิถีชีวิตของเขา เขาจึงเลือกที่จะเงียบมากกว่า

ดังนั้นก็อยากจะบอกว่าวัดพระธรรมกาย ไม่เคยเอาใครไปโฆษณาว่าวัดเราดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้


ดลบันดาลให้สาวกเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยได้ ?

หลวงพี่ไม่กล้ารับประกันใครได้ ว่าคุณมาวัดนี้แล้วจะรวย แต่กล้ารับประกันว่าคุณมาวัดนี้แล้ว คุณจะได้ประโยชน์ 

แต่ถ้าถามว่า โอกาสที่มาวัดนี้จะรวยได้เพราะอะไร ก็เป็นเรื่อง Basic มาก พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าเราอยากจะรวย ก็ขยันหา ขยันเก็บ รายจ่ายไม่เกินรายได้

วัดพระธรรมกาย สอนคนมาวัดให้ทำทาน รักษาศีล ใครดื่มเหล้า สูบบุหรี่ก็ให้เลิก อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข แล้วคุณก็ขยันทำมาหากินขยันเก็บนะ

เขาเชื่อเราเขาก็กลับไปทำ แล้วธุรกิจเขามีผลตอบแทนกลับมา และรายได้มากขึ้น ชีวิตครอบครัวมีความสุข นี่ไงเขามาวัดแล้วเขาได้ประโยชน์ เขาฐานะดีขึ้น

ไม่ใช่เพราะวัดไปบอกว่า คุณมาวัดนี้แล้วจะรวย แต่มันเพราะคุณมาวัดนี้แล้ว วัดได้บอกวิธีในการใช้ชีวิตให้คุณ แล้วคุณก็ไปทำให้เห็นว่าทำแล้วได้ผลจริงๆ คุณพิสูจน์ของคุณเอง

วัดก็เป็นแต่เพียงทางผ่านของคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปสู่คุณนั่นคือวัดทำหน้าที่ของวัด  ในการที่จะขยายคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด เพราะเราอยากให้เกิดคนแบบคุณขึ้นมาในโลกเยอะๆ


ประเด็นทิ้งท้าย


 ฝากผู้อ่าน 

โดยปกติของสังคมไทย จะให้เครดิตกับผู้ที่เป็นสื่อมวลชน หรือคอลัมน์นิสต์ อยากจะฝากผู้อ่านว่าเมื่อรับข้อมูลเอาไว้แล้ว ควรที่จะมองในมุมมองอื่นๆ ที่แตกต่างเพื่อเอามาเทียบเคียงว่าสิ่งที่เขาพูดมาถูกหรือไม่ถูก อย่าเอาแค่ความสะใจ

เพราะจริงๆ เราก็คือชาวพุทธเหมือนกัน ถึงจะมีมุมมองอะไรที่แตกต่างกัน คงยังตอบไม่ได้ว่าอันนี้ถูก หรือผิด ตราบใดที่เรายังไม่ได้ไปรู้ซึ้งอะไรจริงๆ 


 ฝากคอลัมน์นิสต์ 

หลวงพี่อยากบอกว่า ทำการบ้านเยอะๆ หน่อย ถ้าเป็นไปได้ ลองย้อนกลับไปนึกถึงสมัยเรียน ไปดูว่าคอลัมน์นิสต์ที่ดีควรจะมีคุณสมบัติแบบไหน ควรมีความรู้ขนาดไหนจึงจะเขียนออกมาสื่อสารได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอะไรที่เป็นความเห็นส่วนตัวควรจะบอกให้คนอื่นได้รู้ว่า อันนี้เป็นความรู้สึกของตัวเอง ก็จะได้แฟร์กับทุกคน 

จากที่อ่านมามันเป็นเนื้อหาเก่าๆ เดิมๆ ซึ่งมีคนพูดจนกระทั่ง เหมือนกับเราฟังเพลงที่มันไม่เพราะจนเพราะไปแล้ว ด้วยการฟังซ้ำๆ 

ข้อมูลลักษณะแบบนี้ ในสายตาของคนในวัดพระธรรมกายเราคิดว่ามันตลกตรงที่ว่า คุณรู้แค่นี้เองเหรอ?


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
Fb เรื่องเล่าเข้าใจธรรม Live 27 มิ.ย.60
หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ 

ตอกกลับ 7 ประเด็นดับ ในบทความวิถีแห่งธรรมกาย ตอกกลับ 7 ประเด็นดับ ในบทความวิถีแห่งธรรมกาย Reviewed by สารธรรม on 18:50 Rating: 5

15 ความคิดเห็น:

  1. เชื่อไหม เดี๋ยวหนังสือพิมพ์นี้ก็เจ๊ง

    ตอบลบ
  2. ใช้วจีกรรมกับพระผู้บริสุทธิ์อย่างไร ก็คงจะได้ผลกรรมแบบนั้น น่าสงสาร

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณพระอาจารย์แทนผู้เขียน ที่พระอาจารย์กรุณาอธิบายในสิ่งที่ถูก

    ตอบลบ
  4. อนุโมทนาบุญกับพระอาจารย์ด้วยนะคะ. สาธุ

    ตอบลบ
  5. กราบอนุโมทนาบุญ พระจุมพล ปุณฺญพโล อธิบายได้ชัดเจนเจ้าค่ะสาธุๆๆ

    ตอบลบ
  6. เราเหล่าพุทธบริษัท ต้องช่วยกันดูแล ใครบังอาจที่กล่าวโทษ ทำลาย ทำร้ายพระพุทธศาสนา เราต้องช่วยกันปกป้อง อธิบาย แก้ต่าง เอาความจริงขยายออกไป ถ้าเราไม่ช่วยกัน ลูกหลานเราจะไม่เหลือพระศาสนาไว้ให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแล้ว

    ตอบลบ
  7. เป็นวจีกรรมนะแม้เขียนเป็นตัวหนังสือระวังตัวอักษรหล่นทับหัวเอานะ

    ตอบลบ
  8. เป็นบาปอย่างมหันต์เลย

    ตอบลบ
  9. ทุกการกระทำของมนุษย์ไม่ว่าดี หรือชั่ว มีผลเป็นวิบากกรรม หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้นเอย.

    ตอบลบ
  10. ความดีชนะทุกสิ่ง ความจริงชนะทุกอย่าง

    ตอบลบ
  11. ความดีชนะทุกสิ่ง ความจริงชนะทุกอย่าง

    ตอบลบ
  12. คนพาลมารังแกพระพุทธศาสนา และคอยทำลายผู้ที่สนับสนุนงานพระพุทธศาสนา ยังไม่เลิกหยุดก่อกรรม ขอเป็นกำลังใจให้ศาสนิกชนผู้สนับสนุนงานพระพุทธศาสนาทุกท่าน----คนพาลราวีพระมิยอมเลิกลา ---ให้ร้ายพระพุทธศาสนาต่อเนื้อง---เร่งมาสวดธรรมจักรฯกันเนืองๆ---ขอ+บรมกุศลและสาธุชนสืบเนื้อง---ปกป้องรักษาพระพุทธศาสนา---******สาธุ นึกถึงหลวงปู่ด้วยใจใสๆ ด้วยบุญที่สวดธรรมจักรฯ และแผ่เมตตา ขอให้ผู้ที่ทำลายศาสนาพุทธกลับตัวกลับใจ ถ้ากลับไม่ได้ก็ขอให้แพ้ภัยตนเองไป อย่าได้มาเบียดเบียนกันเลย สาธุ

    ตอบลบ
  13. ไอ้พวกอคติ มีปัญญาน้อยกว่ามด ก็ปล่อยมันไป อีกไม่นานพวกมันก็หายไปจากวงการนี้แล้ว กรรมที่ก่อจะเหมือนลูกกระสุนวิ่งตามพวกมันเอง

    ตอบลบ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.