ไม่ศรัทธาแถมแอบด่าพระ จะบาปไหม จากกระทู้คาใจใน Pantip ?



กระทู้คาใจใน Pantip

ศรัทธาในคำสอนธรรมะของพระพุทธเจ้ามาก ยึดถือนำมาใช้ในชีวิต แต่ไม่ศรัทธาพระสงฆ์แถมแอบด่า แม้แต่เกจิที่ทำตัวเป็นเทวดา รวมถึงพระตามวัดต่างๆ ที่ไม่ได้ทำตัวให้น่ากราบไหว้ 

เคยบวชมารู้เลยว่าวัดไม่ใช่ที่ๆ บวชแล้วจะได้บุญ แถมสะสมบาปได้อีก ไม่ศรัทธาคนห่มเหลืองอาชีพพระ จะบาปไหม ในเมื่อตอนนี้ภาพรวมพระเป็นแบบนี้ไปหมด...?



ก็น่าเห็นใจที่พอดีเขาไปเจอข้อบกพร่องของพระสงฆ์ที่ไม่ได้อยู่ในวินัยที่ดีพอ

ก็เลยทำให้เข้าใจในทิศทางนั้นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ดีอยู่แล้ว แต่พระสงฆ์ที่เอามาปฏิบัติไม่ดี เลยทำให้ภาพลักษณ์ของพระดูแย่ลงไป


ถ้าในมุมของหลวงพี่ เวลามองอะไรหลวงพี่ชอบที่จะแยกแยะออกจากกัน ซึ่งหลวงพี่ไม่ติดใจในประเด็นความไม่ชอบส่วนตัว 

เพราะว่าโดยพื้นฐาน พระเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าโยมจะมากราบมาไหว้ โยมเองก็คงไม่คาดหวังว่าพระจะต้องดีเลิศเลอระดับหมดกิเลสความรู้สึกที่มีต่อกันระหว่างฝั่งพระกับฝั่งโยม เราก็ต้องมาดูว่าพระมีหน้าที่มีบทบาทอะไร ส่วนโยมควรจะมีบทบาทหน้าที่อย่างไร

พระ มีหน้าที่ในการนำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเผยแผ่ ฉะนั้นเราก็จะต้องทำตัวของเราให้เป็นแบบอย่าง ก่อนที่จะนำคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีคุณค่ามากขยายออกไป 

พระจึงต้องมีบทบาทในการฝึกตัวเอง ให้อยู่ในกรอบที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกำหนดเอาไว้ แล้วก็มีคุณงามความดีมากพอ ที่เมื่อญาติโยมสาธุชนเห็นแล้วรู้สึกว่า นี่สิ...พระที่น่าเลื่อมใสศรัทธา

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ที่วัดพระธรรมกาย หลวงพ่อจะบอกอยู่เรื่อยๆ ท่านจะให้นึกอย่างนี้ว่าเวลาที่เรา
บวชมาแล้วเราเดินออกมาจากโบสถ์ เราดีพอที่จะให้พ่อแม่กราบเราได้ไหม แล้วเราเองกราบตัวเองลงไหม

ซึ่งท่านหมายความว่า เมื่อบวชเป็นพระแล้วก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบ ที่จะต้องฝึกฝนตัวเองให้ดี คือจะทำยังไงให้เรากลายเป็นบุคคล ที่คนเขาคาดหวังได้ว่าเราจะนำธรรมะไปเผยแผ่ได้จริงๆ

กลับไปที่ส่วนของโยม ว่าควรจะมีบทบาทอย่างไร อย่างน้อยก็ในฐานะพุทธศาสนิกชน ที่เชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า


พระพุทธเจ้าตรัสว่า

สิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้มี 3 อย่าง คือ พระรัตนตรัย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระองค์  และพระสงฆ์

ซึ่งคำว่า พระสงฆ์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านหมายถึงตั้งแต่ระดับพระโสดาบันขึ้นไป คือ เป็นพระอริยบุคคล 


พระที่มีอยู่ทั่วโลก ณ ปัจจุบัน 

ส่วนใหญ่ยังเป็น สมมติสงฆ์ คือ ไม่ได้เป็นพระสงฆ์จริง เพราะคุณธรรมความดีท่านยังไม่ไปถึงตรงนั้น แต่เป็นบุคคลที่กำลังพยายามก้าวขึ้นไปสู่ความเป็นพระสงฆ์ที่แท้จริง ด้วยการฝึกตัวของท่านด้วยการปฏิบัติธรรม

ซึ่งในปัจจุบันเราไม่รู้ว่า พระสงฆ์ที่เป็นพระอริยบุคคลมีมากน้อยแค่ไหน 

แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็ควรเผื่อใจเอาไว้ให้กับ พระสงฆ์ ที่ท่านมีคุณงามความดีในตัว แม้ว่ายังไม่ได้เป็น พระอริยสงฆ์ ก็ตาม ถ้าความดีในตัวท่านเหนือกว่าเราท่านก็อยู่ในฐานะ บุคคลที่ควรบูชา 

แล้วถ้าเราไม่เหมารวม รู้จักแยกแยะได้ ใจของเราก็จะยังยึดมั่นในพระสงฆ์อยู่ ซึ่งก็คือพระรัตนตรัย การยึดแบบนี้จะทำให้เราไม่ถอยออกไปจากพระศาสนา

ดังนั้นหากเราจะรักษาความเป็น พุทธศาสนิกชนที่ดี เราก็ควรจะเชื่อในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ก็บอกว่าสิ่งที่ควรเคารพนับถือจริงๆ ก็คือ พระรัตนตรัย 

พระพุทธศาสนา

อยู่ได้ด้วย "พระสงฆ์ "

ยังต้องอาศัย พระสงฆ์ ที่จะนำคำสอนของพระพุทธเจ้าสืบต่อกันไป ซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าส่วนใหญ่ท่านจะสอนกับพระ พระสงฆ์เป็นจุดตั้งต้นเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกที่ได้ทำในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนอย่างเข้มข้น

ในระดับที่จะทำให้ คำสอน ถูกแปลออกมาเป็น ภาคปฏิบัติ แล้วก็เกิดผลออกมา ทำให้เข้าใจในคำสอนจนถึงที่สุดว่า สิ่งที่พระองค์สอนนั้น แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร คืออะไร หมายความอย่างไร ผ่านการปฏิบัติอย่างเข้มข้น


โดยเฉพาะคำสอนของพระพุทธเจ้า จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีการลงมือปฏิบัติ ดังนั้นพระจึงเป็นผู้ที่ได้เปรียบในเรื่องนี้ 

เพราะการบวชเป็นพระมันเหมือน Short cut เป็นทางลัดแบบหนึ่ง เพราะพระทิ้งทุกอย่างแล้วก็เอาตัวเข้าไปลองเลย ไม่เหมือนญาติโยม ที่ต้องทำมาหากินไปด้วย แล้วก็สนในพุทธศาสนาไปด้วยจึงทำได้ไม่เต็มที่ ทำได้บางอย่าง ไม่ได้บางอย่าง

เหมือนกับคนจะว่ายน้ำ ถ้าเราเป็นคนที่อ่านตำรา กับคนที่ลองว่ายจริงๆ ถ้าสองคนนี้มาคุยกันถามว่าความเข้าใจเรื่องการว่ายน้ำใครจะมากกว่ากัน ก็น่าจะเป็นคนที่อยู่ในน้ำ


สิ่งที่พระได้คือประสบการณ์ 

จึงทำให้ความเข้าใจในคำสอนพระพุทธเจ้า สามารถจะอธิบายเป็นภาษาที่เราสื่อสารกันได้ง่าย เพราะว่ามันผ่านประสบการณ์มาแล้ว เราจะสังเกตเห็นว่า พระที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ท่านจะพูดอะไรไม่ซับซ้อน พูดง่ายๆ ตรงไปตรงมา เพียงแต่ว่าคุณเอาไปทำได้หรือเปล่า

การที่เราไปเจอพระที่ยังไม่ดีพอ ก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมของพระ ซึ่งยังเป็นสมมติสงฆ์ที่กำลังอยากจะฝึก ไม่ใช่ว่ามาเป็นพระแล้วคุณจะสะอาดบริสุทธิ์ สามารถไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงได้ทันที 

คนที่อยู่ข้างนอกมองเข้ามาก็อาจจะรู้สึกว่า เป็นพระก็ไม่เห็นมีอะไรเลย ว่างๆ นิ่งๆ แต่ความจริงหลวงพี่ว่าพระทุกองค์ที่บวชเข้ามาท่านก็กำลังสู้อยู่กับกระแสกิเลสซึ่งมันไม่ใช่ง่ายเลย

ตอนแรกที่ยังไม่สามารถควบคุมมันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ยังต้องฝืน ต้องบังคับเอาไว้ ไม่ให้ทำในสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่อนุญาตให้ทำ ก็ต้องอาศัยทำอย่างนี้ไปก่อนจนกระทั่งมันเป็นปกตินิสัยของเรา

อย่างเช่น ตอนที่ยังไม่ได้บวชเราอาจจะเป็นคนที่นอนดึกตื่นสาย แต่พอมาเป็นพระคุณต้องเปลี่ยนกิจวัตร
เพราะต้องตื่นเพื่อออกบิณฑบาตแต่เช้า แค่ตื่นให้เช้าได้ทุกวันก็เป็นเรื่องเรื่องใหญ่ที่จะต้องสู้กับความขี้
เกียจในตัว

บางทีเราไปเจอพระที่เพิ่งบวชมาใหม่ หรือบวชได้พรรษาสองพรรษา อยู่ในระยะเวลาที่ยังต้องฝึกอะไรอีกเยอะ เราก็ต้องเปิดโอกาสให้ท่านค่อยๆ ทิ้งอะไรที่ติดมาจากทางโลก แล้วก็ให้ท่านมีเวลาในการฝึกตัว

โอเค ถ้าเกิดท่านทำไม่เหมาะไม่สม ท่านก็ควรถูกตำหนิ แต่ไม่ใช่ว่าพอเจอแบบนี้ก็กวาดเรียบหมดเลยว่าทุกองค์ก็เป็นแบบนี้ 

แอบด่าพระจะบาปไหม

หลวงพี่คิดว่ามันเป็นความเสี่ยงเลย เพราะเราไม่รู้นะว่าคนที่เรากำลังด่า เขามีคุณงามความดีอะไรอยู่บ้าง ถ้าจะถามว่าพระท่านทำผิดได้ไหม คำตอบคือท่านยังทำผิดได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย 

หมายถึงมันพลาดไปแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็มีวิธีในการแก้ไขให้ แล้วท่านก็พยายามรักษาสิ่งที่ดีงามให้กลับมา แล้วก็ทำดีไปเรื่อยๆ หรือบางครั้งถ้ากำลังใจไม่พอแพ้ใจตัวเองก็สึกไปก็มี พระที่ท่านยังสู้อยู่ ท่านก็อยู่ในเพศภาวะนี้ต่อไป

ซึ่งถ้าวันนี้ถ้าเราไม่มีพระที่มีคุณความดีเลย พระพุทธศาสนาไม่มีวันอยู่อย่างนี้ได้ มันไปนานแล้วถ้าไม่มีพระ สาธุชนญาติโยมทั้งหลาย ก็จะเลิกสนใจพระพุทธศาสนาไปโดยอัตโนมัติเพราะไม่มีจุดให้ยึด 

บวชเป็นพระก็ต้องได้ "ครูดี"

อย่างหลวงพี่เอง บวชมาก็มีความเข้าใจพระไตรปิฎกในระดับหนึ่ง ก็เห็นแต่ตัวหนังสือไม่รู้หรอกว่ามันลึกซึ้งอย่างไรแค่ไหน ก็จะได้จากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้จากหลวงพ่อที่ท่านมาขยายความให้เราฟัง ว่านี่หมายถึงอะไร ควรจะมองยังไง

แล้วท่านก็จะคอยเคี่ยวเข็ญเรา เราอาจจะทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องท่านก็จะบอกว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องคิดต้องมองอย่างนี้  เราก็ปรับแล้วเราก็เริ่มเข้าใจว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า เวลาลงสู่วิธีปฏิบัติต้องแบบนี้ มันคือวิถีชีวิตของพระ

ถ้าไม่มีพระที่รู้แบบนี้แล้วไปขยายความ แล้วโยมบอกว่าอ่านเองก็ได้ไม่เห็นมีอะไร หลวงพี่อยากจะบอกว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ได้ง่ายอย่างนั้น คือ ถ้าคุณไม่มีปัญญาขนาดจะบรรลุธรรม มันยากต่อการทำความเข้าใจพอสมควรทีเดียว

เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า มันมีระดับความลึกซึ้งอยู่ เราอาจจะแตะในระดับผิวเผินที่พอมองเห็นได้ แต่เราจะไม่เข้าใจอะไรที่ลึกซึ้ง เพราะว่ามันต้องการระดับของการฝึกที่แตกต่างกันไป 

ถึงมีการแบ่งปัญญาที่เกิดขึ้น

ในการศึกษาธรรมะเป็น 3 ระดับ คือ สุตตมยปัญญา ฟังหรืออ่านก็ได้ความรู้มาระดับหนึ่ง  แต่ก็จะมีระดับที่ลึกกว่านั้นเช่นการคิดใคร่ครวญพิจารณาซึ่งเรียกว่า จินตามยปัญญา ทั้ง 2 อย่างนี้ก็ยังใช้สมองใช้ความรู้สึกนึกคิด ใช้ตรรกะ

สุดท้ายมาจบลงตรง ภาวนามยปัญญา คือการได้ปัญญามาจากการภาวนา ซึ่งมีสมาธิเป็นพื้นฐานเลย
เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องผ่านเข้าไปในสมาธิท่านจึงบอกว่าศีลแล้วไปสมาธิ
แล้วจึงจะเกิดปัญญา มันมีสมาธิมาคั่นอยู่


ดังนั้นคำสอนของท่านหลายเรื่องฟังดูเหมือนง่าย แต่ความจริงไม่ง่ายเลย เป็นเรื่องที่คุณจะต้องผ่านเข้าไปในสมาธิถึงจะเข้าใจคำสอนจริงๆ 

ฉะนั้นถ้าหากว่า เราหวังจะได้ประโยชน์ตรงนี้ ต้องคิดอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าดีที่สุดอยู่แล้ว ท่านเป็นหลักเป็นต้นแบบกับทุกคน คำสอนของท่านคือหนทางที่จะทำให้เราหลุดพ้น พระสงฆ์คือผู้ที่เอาชีวิตเข้าไปลองทำลองฝึก 

พระสงฆ์ผู้เก็บสมบัติ

จนกระทั่งท่านกลายเป็น ผู้ที่เก็บสมบัติที่พระพุทธเจ้า สอนเอาไว้มาอยู่ในตัวท่านตามยุคสมัย ความเข้าใจ หรือการสื่อสารจึงจะเป็นภาษาร่วมสมัย เท่ากับว่าโยมได้ฟังอะไรที่เป็นประโยชน์ เป็นทางลัดที่ทุ่นเวลาไปได้เยอะมาก

การตรัสรู้ไม่ได้มาด้วยการคิด การใช้ตรรกะ ไม่ได้ตื้นขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นทุกคนก็เป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว เพราะพระอริยเจ้าคือคนที่ตรัสรู้ใจอริยสัจ 4 ได้ ถ้าถามว่าเวลาพระพุทธเจ้าท่านไปเจออริยสัจ 4 ได้ท่านไปเจอด้วยอะไร คำตอบคือท่านเจอด้วยภาวนามยปัญญา ไม่ได้เจอด้วยความคิด 

เพราะฉะนั้นเท่ากับว่า ท่านต้องอยู่ในอิริยาบถของการทำสมาธิ เช่นในวันตรัสรูของท่านๆ ก็นั่งสมาธิ แล้วท่านก็ไปเจอว่าทุกข์มันมีอยู่ หมายถึงว่าท่านต้องเห็นมันไม่ใช่ท่านคิดเกี่ยวกับมัน

แล้วเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ คือ สมุทัย ท่านก็ต้องเห็น ไม่ใช่คิดว่าทุกข์เหล่านี้มันมากจากไหน คือไม่สามารถใช้ความคิดได้ ท่านต้องใช้การเห็นเมื่อเห็นแล้วว่าอันนี้ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์มาจากตรงไหน อย่างนี้ท่านจึงเริ่มไปเห็น กิเลส ท่านจึงจะไปรู้ว่า แล้วทำยังไงกิเลสเหล่านี้มันจะดับได้

ท่านจึงบอกว่าการตรัสรู้ของท่าน ความรู้ที่ท่านได้มาไม่สามารถรู้ได้ด้วยตรรกะ ไม่สามารถรู้ได้ด้วยคิดด้นเดาให้เข้าใจด้วยสมอง นี่คือความแตกต่างของระดับชั้นของธรรมะของพระพุทธเจ้า 

หลวงพี่ถึงบอกว่าคนธรรมดา ที่เราต่างกำลังเดินทางกันอยู่มันไม่ใช่ง่ายหรอก ที่อยู่ดีๆ แล้วเราจะบอกว่าฉันไม่ต้องพึ่งพระสงฆ์ก็ได้ เอาแค่คำสอนพระพุทธเจ้ามาอ่านเองแล้วฉันจะเข้าใจแตกฉาน


ขนาดพระที่ท่านเป็นราชบัณฑิตยังบอกว่าพระไตรปิฎกที่ท่านไม่เข้าใจก็มีตั้งเยอะลำพังเราศึกษามาแค่ไหน เราถึงมาบอกว่าเราเข้าใจ?  

เอาง่ายๆ ว่าบวชเข้ามา 3 เดือน ห่มผ้าเหลืองให้ดูดี เอาให้เหมือนอย่างพระที่พระพุทธเจ้าอยากจะได้ก็ยังยาก กิริยาอาการทุกอย่างทีพระพุทธเจ้ากำหนดไว้ มันต้องการเวลาในการเรียนรู้ ต้องการกำลังใจที่จะต่อสู้


ดังนั้นหลวงพี่อยากจะให้ชั่งใจว่า 

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังมีคุณค่าควรแก่การเคารพกราบไหว้อยู่ พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่กับเราตอนนี้แล้ว พระธรรมก็มีอยู่ในคัมภีร์ที่คุณไปอ่านได้ในพระไตรปิฎก

พระสงฆ์ ที่วันนี้ส่วนมากเป็น สมมติสงฆ์ เราจะต้องแยกแยะระหว่างสมมติสงฆ์ที่ท่านดีในระดับที่จะเป็นแบบย่างให้เราได้พึ่งพาเป็นเนื้อนาบุญควรที่จะเข้าไปศึกษาไปเรียนรู้จากท่านได้

ส่วนพระที่ยังไม่ดีพอ

อย่างที่คุณไปเห็นมา 

คุณก็ไม่ต้องไปสนับสนุน ถ้าท่านรู้ว่าทำไมญาติโยมถึงไม่ศรัทธาเพราะท่านยังมีข้อบกพร่อง หากจะสู้ต่อท่านก็อาจจะปรับ ก็เท่ากับว่า ญาติโยมก็เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้พระสงฆ์ มีความมุ่งมั่นในการฝึกตัวของท่านให้สมบูรณ์

เราต้องมองว่าความบกพร่องตรงนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยอมรับได้ไหม?

ถ้าพระพุทธเจ้าท่านยังให้โอกาส เราจงยอมรับเถอะ ในเมื่อเราบอกว่าเราเชื่อในคำสอนของท่าน เราก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ท่านมีข้อกำหนดเอาไว้ว่าตรงนี้ ยอมรับได้แก้ไขได้

มันก็จะไม่มีปัญหาว่าเราจะไปด่าไปว่าอะไรให้มันเกิดบาปกับเรา !




ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
Fb เรื่องเล่าเข้าใจธรรม Live 7 ก.ค. 60
Fb ภาพดีๆ 072
ไม่ศรัทธาแถมแอบด่าพระ จะบาปไหม จากกระทู้คาใจใน Pantip ? ไม่ศรัทธาแถมแอบด่าพระ จะบาปไหม จากกระทู้คาใจใน Pantip ? Reviewed by สารธรรม on 02:35 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.