พลิกพระไตรปิฎก ดูความเหมือนที่แตกต่างระหว่าง ขายตรง VS ขายบุญ


ขายตรง vs ขายบุญ

ยิ่งทุ่มเทมากก็ได้มาก vs ให้ง่ายมากก็ได้ง่ายมาก?

หลวงพี่คิดว่า เวลาเราเอาอะไรมาเทียบกัน ต้องดูก่อนว่าสิ่งที่เอามาเทียบ มันใช่เรื่องเดียวกันหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นจะเป็น การจับแพะชนแกะ .!

อย่างเช่นว่าพอพูดถึงเรื่องการ ขายตรง มันก็คือหนึ่งในวิธีการที่เขาทำธุรกิจอยู่ข้างนอก แต่บังเอิญว่าวิธีการบางอย่าง อาจจะไปพ้องกันกับของวัดก็เป็นไปได้ ไม่แปลกอะไร เพราะวิธีการในโลกใบนี้ไม่มีอะไรใหม่

แต่เราต้องไปดูที่มาก่อนว่าวิธีขายตรงกับวิธีที่วัดใช้ ทำเพื่ออะไรเหมือนกันไหม? 

เหมือนกับเรามีมีดหนึ่งเล่ม อาจจะเอาไปทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เช่น เอาไปแทงคนตาย หรือเอามาหั่นผักทำอาหาร มีดเหมือนกันแต่ใช้ไม่เหมือนกันฉันใด ปลายทางของธุรกิจ กับปลายทางของวัดไม่เหมือนกันฉันนั้น 

ยิ่งทุ่มมาก ยิ่งได้มาก

ขายตรงยิ่งทุ่มมากก็ยิ่งได้ผลตอบแทนมาก - ส่วนของวัดทุ่มมากได้บุญมาก ?

ก็แน่นอนอยู่แล้ว คนที่อยากจะได้บุญแล้วนอนเฉยๆ คุณไม่ได้บุญหรอก ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยความทุ่มเท เช่น คุณทุ่มเททำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิภาวนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านสร้างบารมี กว่าจะไปเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านใช้ความทุ่มเทที่เรียกว่า วิริยบารมี


สอนว่าทำบุญแล้ว จะได้ความรวยเป็นสิ่งตอบแทนหรือ ?

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้ว่า คุณทุ่มเทมากคือมีวิริยะมาก มีความเพียรมากก็ได้ผลมาก ถ้าเพียรพยายามไปในเรื่องของ กุศลธรรม คือการทำความดี สิ่งที่ได้กลับมาก็คือ บุญกุศล และบุญก็ส่งผลไปตามลักษณะที่คุณทำ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า คนไหนทำทานมาในอดีต คนนั้นเมื่อเกิดมาแล้วย่อมมีทรัพย์สมบัติ เวลาทรัพย์สมบัติเกิดขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดขึ้นในชาติถัดๆ ไป แต่สามารถเกิดได้ตั้งแต่ปัจจุบันไล่ไปเรื่อยๆ 

ดังนั้นถามว่าคนที่ทำทานจะได้ทรัพย์สมบัติจริงไหม คำตอบคือจริง เป็นคำสอนอยู่แล้วไม่ได้มีอะไรพิศดาร


ทำบุญหวังรวย 

ไม่ตรงกับหลักปล่อยวางไม่ยึดติด ของพุทธศาสนา ?

หลวงพี่ก็ได้ยินประโยคแบบนี้เยอะนะ ความจริงจะหาคนที่ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่หาง่ายนะ พระเองยังวางไม่ลงเลย

คุณเป็น คนพุทธ คุณต้องปล่อยวางใช่ไหม แล้วคุณทิ้งพ่อทิ้งแม่ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้ไหม เพราะนั่นคือการวาง ถ้าทำไม่ได้ แล้วคุณยังเป็นคนพุทธไหม

ความจริงแล้ว พระพุทธศาสนาเวลาจะให้ประโยชน์กับใคร ก็จะให้ตามลำดับความสามารถ จริตจิตใจ ความพร้อมของผู้คน เวลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระองค์ก็จะดูว่าคนไหนมีศักยภาพที่จะไปถึงตรงไหนได้ 

อย่างเช่น คนที่สามารถจะไปเป็นพระอรหันต์ได้ พระองค์รู้ว่าคนๆ นี้ แสดงธรรมแบบนี้ปุ๊บเขาจะทิ้งได้จริงๆ ก็แสดงธรรมไป ในขณะที่มีฆราวาสบางคนมาถามว่า

ข้าพระองค์ยังมีลูก ภรรยา ยังต้องการที่จะอยู่ทางโลก ไม่ได้ต้องการที่จะบวช ไม่ได้ต้องการอยากจะหมดกิเลสในชาตินี้ข้าพระองค์จะทำยังไง พระองค์ก็แสดงธรรมให้เขาฟัง 

ถ้าเราคิดว่าพระพุทธศาสนานี้ ต้องปล่อยวาง พระพุทธเจ้าก็จะไม่มีคำตอบให้กับคนเหล่านี้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ พระพุทธศาสนามีคำตอบให้กับคนทุกแบบว่าเขาจะต้องทำอย่างไร อยู่ที่ว่าเขาต้องการแบบไหน 

ความหลุดพ้น

คือจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาที่ทุกคนควรจะไปถึง ?

สุดท้ายมันจะเป็นอย่างนั้น แต่จะไปถึงตรงนั้นได้มันต้องมีก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม มีการเตรียมความพร้อม คุณต้องเตรียมเสบียง ต้องมีอะไรอีกสารพัด

คือเส้นทางของการจะไปสู่วันที่เราจะ หลุดพ้น หรือทิ้งทุกอย่างได้จริงๆ มันมีขั้นตอน.!



หวังรวย แล้วหลุดพ้นได้หรือ 

หลวงพี่อยากจะใช้คำอย่างนี้ว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เรานั่งอยู่อย่างนี้ชาติหน้าเราต้องเกิดอีก ถูกไหม คือเราอาจจะยังไม่หมดกิเลสในชาตินี้ โดยคติทางพระพุทธศาสนา เราต้องมาเกิดอีก สมมติเราต้องเกิดเป็นมนุษย์แบบนี้อีก

ถามว่าคุณต้องใช้เงินไหม เงินคุณมาได้ยังไง มันมาจากบุญที่คุณทำมาในอดีตชาติ 

เพราะฉะนั้น เมื่อยังไปไม่ได้ ก็ยังทิ้งไม่ได้ไง คุณต้องใช้อีกหลายชาติไหม เงินนี่คุณยังต้องใช้อีกหลายชาติ เพราะฉะนั้นมันกลายเป็นว่า เอ๊ะ...จะทำยังไงให้แต่ละชาติที่เราเกิดมา เราจะมีความพร้อม ในการที่จะไปสู่จุดที่ เราทิ้งทุกอย่างได้จริงๆ 

ซึ่งนั่นมันยังต้องการๆ บ่มเพาะ ทั้งความคิด ทั้งวิถีชีวิตที่เราจะต้องค่อยๆ ขยับไป ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า


วิถีชีวิตของพระ คือวิถีชีวิตที่ดีที่สุดใช่ไหม ที่จะหลุดพ้นออกจากกิเลสอาสวะ คำตอบคือ ใช่ 
คุณเป็นคนพุทธไหม เป็น 
คุณรู้ไหมว่าวิถีชีวิตพระดีที่สุด รู้ 
คุณมาสิ ไม่เอา 
เพราะอะไร ผมไม่พร้อม ผมมีครอบครัว ผมมีห่วงมีกังวลมีอะไรสารพัด 


นั่นก็หมายความว่า คุณไม่พร้อมจะทิ้ง คุณยังต้องการเวลา ต้องการการบ่มเพาะ คนที่มาบวชได้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันต้องอาศัยความคุ้นกับวิถีชีวิตที่มันตรงข้ามกับสิ่งที่โลกเขาเป็น 


เพราะฉะนั้นวิธีการอะไรที่พูดกันมา เราจะต้องดูว่าทางโลกเขามองแบบนั้น ทางธรรมเขามองแบบนั้นด้วยหรือเปล่า หลวงพี่ถึงบอกว่าวิธีการที่บอกว่า 

วัดขายตรง จึงไม่ใช่วิธีการที่มีฐานความคิดแบบเดียวกันกับที่คุณเข้าใจ วัดไม่ได้เอาวิธีการเหล่านี้มาใช้เพื่อการหาประโยชน์แบบที่ชาวโลกเข้าใจ

ปริมาณบุญ กับปริมาณเงิน

ถ้าเราทุ่มเทจะทำบุญด้วยเงินมากกว่า ก็จะได้บุญมากกว่า ?

มันเนื่องด้วยใจด้วยนะ การทำบุญมันมีองค์ประกอบ มีแฟคเตอร์อยู่ 3 อย่างคือ บุคคล (คนให้ - คนรับ ) , เจตนาให้ , ของที่ให้ ว่าบริสุทธิ์ไหม ?


ในแง่ของศาสนา จึงไม่สามารถจะบอกว่า ทำเยอะจะได้มากกว่าน้อย หรือน้อยได้มากกว่าเยอะ 

พระโพธิสัตว์ เวลาท่านเกิดมาสร้างบารมี บางทีท่านไม่ได้เกิดมาเป็นคนที่รวยที่สุด แต่ท่านเกิดมาเป็นคนที่ใจใหญ่ที่สุด ในระดับที่ว่าท่านสามารถจะเอาชีวิตเข้าไปแลกได้  ซึ่งคนที่มีเงินเยอะๆ ไม่สามารถทำได้

เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า เรามีฐานะอะไร เท่าไหร่ เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่าจิตใจของเราสูงส่งมากขนาดไหน มันต้องประกอบกันไปด้วยกันทั้งสองทาง 


คลิกที่ภาพเพื่อรับชมวีดีโอ


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
Fb ภาพดีๆ 072
Fb เรื่องเล่าเข้าใจธรรม
พลิกพระไตรปิฎก ดูความเหมือนที่แตกต่างระหว่าง ขายตรง VS ขายบุญ พลิกพระไตรปิฎก ดูความเหมือนที่แตกต่างระหว่าง ขายตรง VS ขายบุญ Reviewed by สารธรรม on 03:52 Rating: 5

6 ความคิดเห็น:

  1. คนที่ตั้งคำถามนี้เป็นพุทธจริงหรือเพราะคำถามนี้แสดงว่าไม่เชือกฎแห่งกรรมเลย

    ตอบลบ
  2. ผู้มีศรัทธามาก หากมีทรัพย์มาก เขาก็ย่อมบริจาคมากเต็มกำลังศรัทธาของเขา เหมือนอริยสาวกในสมัยพุทธกาล ฟังธรรมแล้วเกิดศรัทธา แม้คนเดียวก็สร้างวัดวาอารามได้หลายหลัง ปริมาณวัดวาอารามและความงดงามของศาสนสถานจึงเป็นเครืองวัดศรัทธาของชาวพุทธไปด้วย...ผู้มีศรัทธามีแต่จะแย่งกันสร้างวัด..ลองเทียบเคียงเอาเองก็แล้วกันนะ

    ตอบลบ
  3. บุญต้องเกิดจากการให้ที่เต็มใจและปลื้มใจ การทำยุญแม้บางอย่างใช้ปีจจัยแต่พระพุทธเจ้าก็สอบวิธีการได้บุญมากๆ แม้เราจะมีปัจจัยน้อย คือการรักษาศีล เจริญสมาธิ เมื่อกาย วาจาและใจเราบริสุทธ์มากขึ้น เงินเท่ากันแต่จะบุญมากกว่า ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากเสมอไป แต่ถ้าใครมีกำลังเงินมาก ทำบุญมากเราก็อนุโมทนาบุญกับเขา อย่าไปขัดขวางหรือพูดบั่นทอนกำลังใจ จะได้บาปป่าวๆ

    ตอบลบ
  4. บุญไม่มีขาย อยากได้ ต้องทำเองเอย.

    ตอบลบ
  5. เขียนดีมากกกกก.....เลย..เจ้าค่ะ
    กราบอนุโมทนาบุญ...เจ้าค่ะ

    ตอบลบ
  6. ขอเชิญมาสวดธัมมจักก์ฯ ต้องลงมือสวดเอง ได้บุญเอง ใครก็ทำแทนไม่ได้ สาธุค่ะ

    ตอบลบ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.