ม.44 วัดธรรมกายปิดประตูตีแมว
"ปิดประตูตีแมว"
ไม่ต้องเห็นใจ แค่เห็นความจริงก็พอ
ผมไม่ได้ห่วงคนอื่นนอกจากตัวเองมานานเท่าไหร่แล้วจำไม่ได้
แต่วันนี้เกิดห่วงใยขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่องของวัดพระธรรมกาย ผมเบื่อที่เห็นคนในชาติตัวเองเกลียดชังกัน ทะเลาะกัน แล้วหาเหตุทำร้ายทำลายกันเต็มที มันเป็นเหมือนหนังฉายวนที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
ผมชอบสันติวิธี ชอบความปรองดองที่เห็นเป็นรูปธรรม และคิดว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศก็น่าจะเห็นแบบเดียวกันกับผมด้วย
เราสะใจ ชอบใจที่เห็นคนที่เราไม่ชอบถูกทำลาย ก็เพราะคน ๆ นั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ครอบครัวเรา ไม่ใช่คนที่เรารัก แต่หารู้ไม่ว่าเพราะความสะใจ เราก็กำลังทำลายความเมตตาในใจเราไปด้วยตัวเราเองเหมือนกัน
วันนี้ต่อให้ไม่อยากเห็นไม่อยากดูก็ไม่ได้ เพราะมีแต่ข่าววัดพระธรรมกายเต็มไปหมด อ่านแล้วก็มาชั่งใจกลาง ๆ ผมว่าตอนนี้ข่าวสารวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างใช้เพื่อปกป้องตัวเอง เป็นผมผมก็ทำแบบนั้น ใครจะยอมให้ฝ่ายตัวเองถูกกระทำอยู่ข้างเดียว
ตอนนี้โชคดีที่สื่ออินเตอร์เน็ตเข้าถึงง่าย มีช่องทางที่ต่างฝ่ายต่างแสดงเหตุผลออกมา ถ้าเป็นสมัยก่อนผมว่าวัดพระธรรมกายคงเละไปแล้ว เพราะเมื่อก่อนรัฐปิดประตูตีแมวสบาย ข่าวสารให้ด้านเดียว บังคับสื่อได้ โฆษณาชวนเชื่ออย่างไรก็ได้ แต่ตอนนี้อย่างน้อยยังมีรูมีช่องให้วัดได้ชี้แจงเหมือนกัน และทำให้ผมได้ชั่งใจ
***สรุปว่าผมยังไม่เห็นความสมเหตุสมผลของมาตรการที่รัฐใช้ ไม่ว่าจะ ม.44 กับคดีอาญาที่ใช้วิธีปกติก็ได้ หรือแม้แต่การทุ่มกำลังพล ทั้งตำรวจ ทหารกว่า 5,000 นาย และยุทธวิธีจับพระ 1 รูป ในข้อหาที่ทางโลกถือว่าไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย
ขนาดอดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ยังบอกผ่านรายการของจอมขวัญเมื่อคืนวานเองว่าเจ้าหน้าที่ใช้วิธีไม่ฉลาด (โง่นั่นแหละ) และไม่มีความจำเป็นต้องทุ่มกำลังขนาดนี้ ตำหนิไปถึงคนอนุมัติ ม.44 ว่าไม่รู้จักใช้กฎหมาย รายละเอียดไปฟังกันเองเถอะครับ
ถ้าเราไม่ใช่ปลาทอง ขี้ลืมและบ้าตามคำพูดคนอื่นง่าย ๆ เรียบเรียงเรื่องให้ดี ก็จะเห็นหนังบทลักษณะนี้วนไปวนมา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะในยามที่ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในชาติเราอย่างนี้
"แต่ก็ระวังให้ดี ไก่ที่มันจะถูกเชือด แม้สู้ไม่ได้ มันก็ดิ้นรนจิกตีเท่าที่ได้ สู้ก็ตาย ไม่สู้ก็ตาย หมูหมากาไก่ที่ไหนมันก็เลือกสู้ทั้งนั้น"
วิธีที่รัฐสามารถเลือกใช้ได้มี 2 วิธี คือ
1. ให้คดีมันเป็นไปตามกฎหมาย จับได้ก็ได้ จับไม่ได้คดีก็มีอายุความ ถ้าจับได้ ก็ให้ประกันตัวไป แก่ขนาดนี้ พระจะหนีไปไหนได้ แล้วสู้ไป 3 ศาล กับคนอื่นที่ต้องคดีแบบเดียวกัน รัฐก็ทำอย่างนี้กันไม่ใช่หรือ หรือคุณใช้ ม.44 กับทุกคน
สู้แบบนี้ แม้จะจบตอนเจ้าอาวาสอายุปาไป 80-90 ปี ก็ต้องปล่อยให้สู้กันไป ศาลตัดสินอย่างไร ไว้ไปดูข้างหน้าโน่น
ถ้าเลือกวิธีนี้ ไม่มีอะไรสูญเสีย รัฐอธิบายกับสังคมได้ว่าใช้มาตรฐานเดียวกัน แฟร์ด้วยกันทุกฝ่าย ประเทศเจริญ ๆ เขาก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น
2 เลือกวิธีที่กำลังทำอยู่ขณะนี้ ซึ่งไม่มีความสมเหตุสมผลเลย ม.44 กับคดีรับของโจร ฟอกเงิน บ้าหรือเปล่าครับ
ผลสุดท้ายที่ตามมาคาดได้อยู่แล้วว่าบาดเจ็บล้มตายแน่นอน ซึ่งผมไม่ชอบ และเบื่อที่จะเห็นแล้ว ไม่ว่าจะกับใคร ฝ่ายไหน
ดูจากข่าว รัฐบอกไม่ยอมให้วัดปกครองเป็นเอกเทศ - วัดตอบว่า เอกเทศที่ไหน คุณเข้ามาค้น 3 วัน อยากไปตรงไหนก็ได้ คุมประตูวัด ตัดการเข้าออก ปิดประตูเหมือนโจรปล้นบ้านเขา ยังหาว่าเอกเทศ ผมก็งง แต่คิดว่าวัดชนะในประเด็นนี้
เรียกพระ 14 รูปของวัดให้มารายงานตัวนอกวัด - วัดบอกว่าคุณเข้ามาค้นวัด คุมวัดด้วยกองกำลังหลายพันนาย พระที่คุณเรียก คุณก็พบหมดแล้ว คุณจะให้ไปรายงานตัวนอกวัดทำไมอีก เพื่ออะไรครับ นั่นสิ ผมก็งง วัดชนะอีกเช่นเคย
>>>ผบ.ตร.บอกให้เจ้าอาวาสมามอบตัว กล้า ๆ เหมือนชูวิทย์กับสนธิหน่อย - วัดตอบว่า วัดให้ DSI เข้ามาแจ้งข้อหาตั้งนานแล้ว เพราะเจ้าอาวาสป่วย ออกไปไม่ได้ ตอนนั้นคนก็มีไม่มากอย่างนี้ อดีตรองอธิบดีอัยการบอกแจ้งข้อหานอกวัดก็ได้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ก็ยืนยันว่าได้จริง ๆ แต่ DSI ไม่มา และไม่ยอมมา จะให้ไปนอกวัดอย่างเดียว ทำเรื่องง่ายให้ยาก จากนั้นลัดขั้นตอนไปออกหมายจับ พอเขาทัก คุณบอกเลยขั้นตอนนั้นไปแล้ว...เฮ้ย คนที่ทำให้เลยก็คือฝ่ายรัฐเองไม่ใช่เหรอ ตรงนี้ผมสงสัยมาก ๆ ว่ารัฐทำอย่างนี้เพื่ออะไร ?เพื่อใคร ? เพื่ออะไรกันหรือครับ ?
ตอนหลัง จนท.ระดับสูงของรัฐให้ข่าวว่า ถ้าจับได้ต้องสึก ผมเลยถึงบางอ้อ ว่า อ้อ...คือเขาจะจับสึกท่านนั่นเอง ผิดจริงหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่จะสึกพระที่บวชมาจะ 50 ปี -- ตอนนั้นขอโทษที ผมสบถในใจ "พ่อมึงตายเถอะ เป็นกูก็ไม่มอบตัวกับมึงหรอก"
และล่าสุด หลังจากตรวจค้นวัดทุกซอกทุกมุม 3 วัน จนท. DSI แถลงข่าวว่าไม่พบตัวผู้ต้องหา ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ไม่พบอาวุธ ไม่พบยาเสพติด ไม่พบอะไร แถมเซ็นชื่อรับรองไว้ด้วยนะ การค้นก็ไม่ได้บอกวัดว่าจะค้นอะไร ตรงไหน อยากไปก็ไป วัดไม่มีทางขนย้ายอะไรหนีทันเลย
แต่หลังจากนั้น อธิบดี DSI ให้ข่าวว่า ต้องตรวจค้นอีก เพราะคิดว่าในวัดสะสมอาวุธ...เฮ้ย อะไรกันอีกเนี่ย ค้นทุกซอกมุม ทุกจุดที่ต้องการแล้วไม่เจออะไร แต่สงสัยว่ามีอาวุธอยู่ ตรรกะอะไรครับเนี่ย!!!
ผมเข้าใจแล้วครับ ว่าปิดประตูตีแมวเป็นอย่างไร ผมไม่ลังเลใจเลยว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิดคนเหมือนกันครับ เมื่อมาถึงจุดที่วัดไม่ไว้ใจรัฐ เขารวมกันสู้ก็ชอบธรรมแล้ว แต่ยังดีไม่สู้แบบม็อบโรงไฟฟ้าถ่านหิน ฮ่า ๆๆ มาแค่ไม่กี่ร้อย แต่เจ้าหน้าที่ตื่นตะหนก นายกไปไม่เป็นเลยก็แล้วกัน เพราะเขาตะโกนด่าทอ โมโหโกรธา และพร้อมจะลุย
แต่คนวัดเท่าที่เห็นมีกำลังมากกว่าหลายเท่า แต่ยังไม่ทำอะไรรุนแรง ไอ้ปะทะกัน โทษฝ่ายตรงข้าม มันก็ต้องทำทั้งนั้น ไม่ต้องไปสืบสาวหาความ เสียเวลา มาดูสาระที่ถูกต้องดีกว่าว่าที่ถูกควรเป็นอย่างไร
รัฐบาลครับ ถอยออกมาเถอะ วัดเองก็ถอยด้วย ความขัดแย้งใหญ่ ๆ ทุกอย่างจบได้ด้วยการเจรจา
เคยดูหนังเรื่อง The Stanford Prison Experiment กันใช่ไหมครับ งานวิจัยที่แบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นผู้คุม อีกกลุ่มเป็นนักโทษ ทำไปทำมาผู้คุม (ที่ถูกสมมุติ) ก็ลุแก่อำนาจ ลืมตัว ใช้อำนาจเกินขอบเขต จนต้องยกเลิกการทดลองก่อนกำหนด
เชื่อเถอะครับ มันเป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัย
อำนาจที่มีมากเกินไป นำไปสู่ความบ้าอำนาจที่ตนมี และมักเสพติดใช้จนไม่มีขอบเขตในที่สุด
กรุณาระวังตัวคุณไว้ ว่าคุณสะใจ หรือลืมตัวเห็นด้วยกับอำนาจรัฐแบบนี้ไปแล้วหรือยัง!!!
-คมความคิด-
21 กุมภาพันธ์ 2560
ม.44 วัดธรรมกายปิดประตูตีแมว
Reviewed by สารธรรม
on
06:53
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: