ชัยชนะของมหาเสนาบดี สงครามที่ไม่มีการสูญเสียกำลังพลแม้แต่คนเดียว


ชัยชนะของมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่

..ในขณะที่ท่านมหาเสนาบดีกำลังตกอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน เพราะต้องเตรียมรับมือกับกองทัพของข้าศึกที่มีกำลังพลเหนือกว่ากองทัพของตัวเองถึง 10 เท่าตัวนั้น 

ท่านมหาเสนาบดีก็ได้รับทราบข่าวดีจากทางเมืองหลวงว่า แคว้นของพระราชาที่เจริญด้วยศิลปะ ได้ตัดสินใจยกทัพมาช่วยแคว้นของพระราชาองค์ที่จะออกบวชแล้ว 

โดยในขณะนี้กองทัพของแคว้นพระราชาที่เจริญด้วยศิลปะ กำลังเคลื่อนพลไปประชิดแนวชายแดนของแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือ เพื่อกดดันให้แคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือเกิดความห่วงหน้าพะวงหลัง เพราะต้องเตรียมรับศึกทั้ง 2 ด้าน ..


หลังจากที่ท่านมหาเสนาบดีและเหล่าทหารหาญทุกคนได้ทราบข่าวดีที่มาจากทางเมืองหลวงแล้ว ทุกๆ คนต่างก็มีขวัญกำลังใจที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก

เพียงแค่ว่าในตอนนี้ทุกๆ คนจะต้องร่วมมือกันยันข้าศึกไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

และเมื่อเช้าของวันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น กองทัพของแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือ ก็ได้ย่ำกลองศึกเพื่อเตรียมจัดทัพที่จะเข้าโจมตีป้อมค่ายของ ท่านมหาเสนาบดี เมื่อท่านมหาเสนาบดีและ ท่านแม่ทัพภาคคนใหม่ได้ยินเสียงสัญญาณศึกที่กำลังจะเกิดขึ้นเช่นนั้น

ท่านทั้งสองก็ได้ออกมาพูดให้กำลังใจเหล่าทหารหาญ ให้เกิดความฮึกเหิมและพร้อมที่จะออกรบอย่างเต็มที่ 

จากนั้นท่านมหาเสนาบดีก็ได้ทำพิธีแต่งทัพ ด้วยวิธีร่ายเวทย์ให้เหล่าทหารหาญมีความคงกระพันชาตรี หรือมีหนังเหนียวจนคมหอกคมดาบไม่สามารถทำความระคายเคืองให้เกิดขึ้นกับผิวได้ อีกทั้งท่านมหาเสนาบดียังได้ร่ายมนต์สะกดให้กองทัพของข้าศึกเห็นกองทัพของฝ่ายตนแล้วเกิดความรู้สึกกลัวจนไม่กล้าที่จะเข้ามาประจันหน้าอีกด้วย

หลังจากที่ท่านมหาเสนาบดีและเหล่าทหารหาญทุกคนได้ทราบข่าวดี ที่มาจากทางเมืองหลวงแล้ว ทุกๆ คนต่างก็มีขวัญกำลังใจที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก เพียงแค่ว่าในตอนนี้ทุกๆ คนจะต้องร่วมมือกันยันข้าศึกไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น
   
และเมื่อกองทัพของข้าศึก ได้เคลื่อนกำลังพลมาถึงบริเวณด้านหน้าลานดินก่อนถึงกำแพงเมืองแล้ว ทางฝ่ายข้าศึกก็ได้ส่งคณะทูตมาเจรจาแกมข่มขู่ในทำนองที่ว่า..

“ให้ท่านมหาเสนาบดียอมแพ้เสียเถอะ..จะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บล้มตาย และจะได้ไม่ต้องมีการนองเลือด”

ทันทีที่ ท่านมหาเสนาบดี ได้รับฟังการเจรจาแกมข่มขู่เช่นนั้น เลือดลมภายในตัวของท่านก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที แล้วท่านก็ได้ไล่ตะเพิดคณะทูตเหล่านั้นให้กลับไปอย่างไม่ใยดี ด้วยเสียงอันทรงพลังดุจดั่งเสียงของพญาราชสีห์

เมื่อทางฝ่ายข้าศึกเห็นว่าการเจรจาข่มขู่ไม่ได้ผล ทางฝ่ายข้าศึกจึงได้ส่งสัญญาณยกทัพบุกเข้าโจมตีกำแพงเมืองของท่านมหาเสนาบดีในทันที ในขณะที่กองทัพหน้าของฝ่ายข้าศึกกำลังเคลื่อนทัพเป็นแถวยาวสุดลูกหูลูกตา เข้ามายังบริเวณลานดินที่อยู่ด้านหน้ากำแพงเมืองนั้น

ท่านแม่ทัพภาคคนใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านน้ำ ก็ได้สั่งการให้ทลายเขื่อนกั้นน้ำขนาดใหญ่ที่กักเก็บน้ำเอาไว้อยู่นอกป้อมค่าย และในทันใดนั้นเอง มวลน้ำจำนวนมหาศาลก็ได้ไหลทะลักเข้าท่วมลานดินแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่พวกทหารของฝ่ายข้าศึก เห็นน้ำหลากมาอย่างรวดเร็วเช่นนั้น พวกทหารเหล่านั้นต่างก็รู้สึกตกใจกลัวจนแตกตื่น และพากันแตกแถวเสียกระบวนทัพไปอย่างไม่เป็นท่า

และด้วยยุทธวิธีอันชาญฉลาดของท่านแม่ทัพภาคคนใหม่ ผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านน้ำนี้เองจึงทำให้ลานดินบริเวณด้านหน้ากำแพงเมืองได้กลายเป็นทะเลตื้นๆ ที่กินบริเวณพื้นที่กว้างมาก อีกทั้งสภาพของดินในบริเวณนั้นก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นทะเลโคลน

ซึ่งทำให้กองทัพของฝ่ายข้าศึก ยากต่อการจะเคลื่อนพลบุกเข้ามาโจมตีกำแพงเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ทหารของฝ่ายข้าศึก ยังไม่สามารถที่จะบุกเข้ามาสัมผัสกำแพงเมืองได้เลยแม้แต่เพียงคนเดียว เรียกได้ว่า ยุทธวิธีนี้ ทำให้การบุกโจมตีของข้าศึกต้องหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน ซึ่งถือว่าเป็นยุทธวิธีที่ช่วยประวิงเวลาออกไปได้สักระยะหนึ่ง

จากนั้น ท่านมหาเสนาบดี ก็ได้จัดตั้งกองกำลังทหารหน่วยพิเศษขึ้นมาโดยทหารหน่วยนี้ จะคอยดักซุ่มอยู่บริเวณด้านหลังของแนวข้าศึก หรืออยู่ด้านหลังแนวรบนั่นเอง เมื่อไหร่ที่ทหารของฝ่ายข้าศึกเผลอก็ให้ทหารหน่วยนี้แอบไปเผากองเสบียงของข้าศึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เรียกได้ว่าถ้าเจอกองเสบียงที่ไหน ก็จุดไฟเผาให้เกลี้ยงในทันที เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนจึงส่งผลทำให้เสบียงกรังของข้าศึกร่อยหรอ

และเมื่อฝ่ายข้าศึกถูกลักลอบทำลายเสบียงกรังไปเป็นจำนวนมากเช่นนั้น ฝ่ายข้าศึกจึงได้ตอบโต้ด้วยการใช้กำลังพลที่เหนือกว่า เข้าไปโค่นต้นไม้เพื่อทำเขื่อนกั้นลำน้ำที่จะไหลผ่านเข้าไปในกำแพงเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้น้ำในแม่น้ำแห้งขอดลงอย่างรวดเร็ว

แม้ว่า ฝ่ายข้าศึกจะสามารถปิดกั้นลำน้ำ ที่จะไหลผ่านเข้าไปในกำแพงเมืองได้แล้วก็ตามแต่ถึงกระนั้น ด้วยสติปัญญาความสามารถของ ท่านแม่ทัพภาคคนใหม่ ที่มีความเชี่ยวชาญน้ำได้จัดเตรียมระบบส่งน้ำผ่านทางท่อไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วนี้เอง

จึงทำให้เหล่าทหารหาญ และประชาชนที่อยู่ภายในกำแพงเมือง ยังมีน้ำดื่มและน้ำใช้หล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา

 หลังจากเริ่มทำสงครามไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว ท่านมหาเสนาบดีก็ได้ออกไปแอบซุ่มสำรวจดูสภาพความเป็นอยู่ของข้าศึก และหลังจากที่ท่านได้ออกไปสำรวจดูแล้ว ตัวท่านก็ได้พบว่า

“พวกทหารของข้าศึกเริ่มอ่อนล้าเต็มทีแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะพวกทหารเหล่านั้นขาดแคลนเสบียงกรังอีกทั้งเวรยามก็หละหลวมเป็นอย่างมาก”

เมื่อท่านมหาเสนาบดีทราบเช่นนั้น ตัวท่านจึงได้อาศัยช่วงจังหวะที่ข้าศึกกำลังอ่อนแอนี้ส่งกองกำลังทหารหน่วยพิเศษออกไปเผาค่ายของข้าศึกในตอนกลางคืน เมื่อเป็นเช่นนี้จึงส่งผลทำให้พวกทหารของฝ่ายข้าศึกเกิดความหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ และไม่กล้าที่จะออกมารบนอกค่ายอีกแล้ว

หลังจากนั้นไม่นานนัก ท่านมหาเสนาบดีก็ได้รับทราบข่าวจากทางเมืองหลวงว่า ในตอนนี้กองทัพของแคว้นพระราชาที่เจริญด้วยศิลปะ ได้เคลื่อนกำลังพลไปประชิดแนวชายแดนของแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือแล้ว

และในขณะเดียวกันนั้นเอง ท่านมหาเสนาบดีก็สังเกตเห็นว่า “กองทัพของฝ่ายข้าศึกได้สั่งการถอนทัพอย่างเร่งด่วน เพื่อรีบกลับไปยังแคว้นของตัวเอง”

หลังจากที่กองทัพของฝ่ายข้าศึกได้ถอนทัพกลับไปยังแคว้นของตัวเองแล้ว.. 

พวกชาวบ้านทั้งหลายที่อยู่ในเขตหัวเมืองชายแดนฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นพระราชาองค์ที่จะออกบวช ต่างก็ออกมาร้องรำทำเพลงเพื่อฉลองชัยชนะศึกสงครามในครั้งนี้

ซึ่งเป็นศึกสงครามที่ไม่มีการสูญเสียกำลังพลเลยแม้แต่นายเดียว.!

ภายหลังจากที่

ศึกสงครามได้สงบลงแล้ว 

ประชาชนทุกคนก็ได้ออกมาช่วยกันฟื้นฟูสภาพบ้านเมืองหลังสงครามให้กลับมาน่าอยู่เหมือนเดิม และเหล่าทหารหาญทุกนายต่างก็ได้รับการปูนบำเหน็จกันอย่างเต็มที่

สำหรับตัวท่านมหาเสนาบดีนั้น ก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นแม่ทัพที่ดูแลกำลังพลในเขตเมืองหลวง ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่เป็นข้าหลวงพิเศษ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องต่างๆ แทนพระราชา คือเป็นหูเป็นตาแทนพระราชานั่นเอง

หลังจากที่บ้านเมืองได้รับการฟื้นฟูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประชาชนทั่วทั้งแคว้นต่างก็ได้พร้อมใจกันจัดเตรียมงานเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ของพระราชาองค์ใหม่ หรือพระราชาองค์ที่จะออกบวช ด้วยความสนุกสนานเบิกบานกันอย่างเต็มที่

และในระหว่างที่ประชาชนทั่วทั้งแคว้น กำลังช่วยกันจัดเตรียมงานเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ของพระราชาองค์ใหม่ หรือพระราชาองค์ที่จะออกบวชอยู่นั้น พระราชาองค์ที่จะออกบวช ก็ทรงรับสั่งให้ท่านมหาเสนาบดี เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นของ พระราชาที่เจริญด้วยศิลปะ อย่างเป็นทางการ พร้อมกับขอบคุณที่ได้ให้ความช่วยเหลือในศึกสงครามครั้งที่ผ่านมา

อีกทั้งพระราชาองค์ที่จะออกบวช ยังได้ทรงรับสั่งให้ทูลเชิญเจ้าชายผู้มีศิลปะในหัวใจ เสด็จเดินทางมาร่วมงานเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ของพระองค์อีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแว่นแคว้น มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

ภายหลังจากพระราชาองค์ที่จะออกบวช ได้ปกครองแผ่นดินไปได้สักระยะหนึ่งแล้วเหล่าเสนาอำมาตย์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่ช่วยกันดูแลแว่นแคว้นมาตั้งแต่ยุคสมัยของพระราชบิดาของพระราชา ต่างก็ถึงเวลาเกษียณแล้วก็เปิดทางให้นายทหารรุ่นใหม่ไฟแรงได้ขึ้นมาช่วยกันดูแลแว่นแคว้นต่อไป

ซึ่งตัวท่านมหาเสนาบดี ก็ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดี ที่ทำหน้าที่ช่วยดูแลกิจการงานของบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ และเมื่อท่านมหาเสนาบดีได้รับตำแหน่งนี้มาแล้ว ตัวท่านก็ได้ทุ่มเทพัฒนาแว่นแคว้นให้มีความเจริญในทุกๆ ด้าน

โดยตัวท่านจะมุ่งเน้นพัฒนาเรื่องการศึกษาและคุณธรรมเป็นหลัก อีกทั้งตัวท่านยังคอยส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กๆ รุ่นใหม่ได้ทำงานต่างๆ ตามความรู้ความสามารถที่แต่ละคนถนัดอีกด้วย 

และถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นภายในแว่นแคว้น ตัวท่านก็จะตัดสินด้วยความยุติธรรม คือผิดก็ว่ากันไปตามผิดถูกก็ว่ากันไปตามถูก เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ประชาชนภายในแว่นแคว้นอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเรื่อยมา.!
ชัยชนะของมหาเสนาบดี สงครามที่ไม่มีการสูญเสียกำลังพลแม้แต่คนเดียว ชัยชนะของมหาเสนาบดี สงครามที่ไม่มีการสูญเสียกำลังพลแม้แต่คนเดียว Reviewed by สารธรรม on 04:50 Rating: 5

5 ความคิดเห็น:

  1. ชนะด้วยปัญญาดีกว่าชนะด้วยกำลัง ชัยชนะที่ไม่มีการสูญเสียกำลังดีกว่าชัยชนะที่เสียทั้งสองฝ่ายชัยชนะที่ไม่มีวันกลับแพ้ดีที่สุด

    ตอบลบ
  2. ชัยชนะที่ไม่ก่อเวร

    ตอบลบ
  3. เหตุการณ์ต่างๆช่างคล้ายกัน เหมือนที่หลวงพ่อบอกเรา โลกนี้มันไม่มีอะไรใหม่จริงๆค่ะ ปลง มุ่งหน้าสั่งสมบุญสร้างบารมีกันต่อไป

    ตอบลบ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.